นอกเรื่อง - ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ
ช่วงนี้ เรื่องนี้กำลังเข้าโรงครับ
จริงๆ มันแทบไม่เกี่ยวอะไรกับร้านผ้าม่านของผมเลย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากพูดถึงบ้าง ในฐานะคนที่ชอบดูหนังคนหนึ่ง
และยิ่งเรื่องนี้ เป็นหนังของ GTH ค่ายทำหนังน้ำดีที่ต่อให้ทำหนังได้ห่วยแค่ไหน ยังไงก็กลายเป็นหนังทำเงินอยู่ดี
เนื่องด้วยเพราะทีมงาน โดยเฉพาะผู้กำกับ และนักแสดงที่ไม่เน้นนักแสดงในกระแสเท่าไหร่นัก (แม้เรื่องนี้จะมีตัวเด่นคือ ซันนี่ กับ ใหม่ ดาวิกา เป็นตัวชูโรง)
ก่อนดู
แน่นอนครับ เข้าใจเหมือนที่ทุกคนเข้าในนั่นแหละ ว่ามันน่าจะเป็นหนัง Romantic-Comedy ตามสไตล์ที่ GTH ถนัด และสร้างออกมาต้องปล่อยให้คนที่เข้าไปดูในโรงออกมาด้วยความฟินเกินบรรยาย
แต่....
แต่ครับผม....
พอเข้าไปดู
ตัวหนังไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่า Rom-Com เลยแม้แต่น้อย
คือ เนื้อเรื่องหลัก 80% พูดถึง ยุ่น พระเอก ผู้ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ กราฟฟิคดีไซน์เนอร์ คือ ทำรีทัชภาพ ตัดแต่ง ออกแบบภาพโฆษณาตามที่ลูกค้าต้องการ
ซึ่งส่วนตัวผมเอง ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ว่าทำไมมันต้อง "ฝืน" ร่างกายเพื่อให้ทำงานได้มากและหนักขนาดนั้นด้วย
พระเอกเฉลยนิดหน่อยตามหลักเหตุผลของคนทำงาน Freelane ว่า
"ก็ถ้าเราเลือกงาน ไม่รับงาน เดี๋ยวลูกค้าเขาก็ไปจ้างคนอื่นทำ แล้วเราก็จะไม่มีงานทำเอา"
ซึ่ง จริงๆ ลูกจ้างฟรีแลนซ์ร้านผมก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันครับ
ช่างติดตั้งผ้าม่านหลายๆคนก็ไม่ค่อยจะอยากปฏิเสธงานลูกค้าเท่าไหร่ เพราะถ้าเรื่องมาก เลือกเยอะ ก็อาจจะชวดงาน เสียรายได้ไปได้
แต่ว่า
ตัวหนังก็สื่อสารกับคนดูให้เห็นว่า "การทำงานหนัก" ต้องแลกด้วยอะไรมาบ้าง
ยุ่น พระเอกนั้น เป็นฟรีแลนซ์บ้างานตัวพ่อ ที่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ความเหนื่อยหรือสภาพร่างกายของตัวเอง
ความสุขอย่างเดียวของเขาคือ การที่ลูกค้า "ชม" ผลงานเขาแค่คำเดียว เขาก็มีความสุขมากมายมหาศาลแล้ว
แต่สุดท้าย ร่างกายมันก็ส่งสาส์นออกมาครับ
ไอ้ "ผื่น" ที่ร่างกายมันแสดงออกมานั้น (ตามที่คุณหมอบอก) มันเป็นเหมือน "ข้อความ" ที่ร่างกายบอกเจ้าของร่างว่า "กูไม่ไหวแล้วนะ ไอ้สัส" เพื่อให้เจ้าของร่างนั้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มัน "เพี้ยน" จนออกนอกลู่นอกทางไปเยอะ
หลายๆคนคงเคยทำแบบยุ่นบ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะครับ เรื่อง "อดนอน" เนี่ย
ถ้าต้องเรียน ต้องอ่านหนังสือสอบ ก็มักจะมีสภาพไม่ต่างกันนัก
แต่กับเรื่องทำงาน เท่าที่ผมประสบพบเจอมา ถ้าเป็นลูกจ้าง ส่วนใหญ่มักไม่ได้อดนอนติดกันหนักขนาดนี้หรอกครับ อย่างมาก ก็แค่ข้ามคืน แล้วร่างกายมันก็ไม่ไหวแล้ว ทำงานต่อไม่ได้หรอก
แต่ยุ่นนั้น ฝืนต่อไปเรื่อยๆ จนอดนอนได้ติดกัน 4-5 วันเลยทีเดียว
ลองนึกสภาพคนอดนอนติดต่อกันนับหลายสิบชม.ดูสิครับ
ผมว่า ไม่ต้องรอให้ผื่นขึ้นหรอก แค่อาการปวดหัว อาหารไม่ย่อย ภาพเบลอ แค่นี้ เราก็ล้มพับจับหมอนนอนยัน 10 ชม.แล้วครับ
แต่ยุ่นไม่ใช่
เขาสร้างตัวเองให้กลายเป็นคนทำงานที่ "สุดโต่ง" ไปทางด้านนู้น
ถ้ามีใครสักคนที่เป็นพนง.ประจำและขี้เกียจมากๆ ทำงานเช้าชามเย็นชาม
ยุ่นคือคนที่อยู่ตรงข้ามคนๆนั้นครับ
เขาทำงานอย่างบ้าคลั่ง เอาเป็นเอาตาย และไม่สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจาก "การทำงานให้สำเร็จ" โดยที่ไม่สนใจอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่ร่างกายของตัวเอง
ตัวหนังช่วงแรกยังไม่มีอะไรมากครับ
ยุ่นตัดสินใจไปพบหมอ ทั้งที่ตัวเองไม่อยากไป ขณะเดียวกันก็ปกปิด "สภาพ" ของร่างกายที่มีผื่นเหล่านั้น และทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น บอกกับคนอื่นและตัวเองว่า "กูปกติ"
จุดเปลี่ยนอย่างแรกคือเรื่อง "ผื่น"
ลากไปสู่ผลลัพธ์ของการไปพบ "หมอ"
ซึ่งก็อย่างที่เห็นครับ ถ้าไม่มีเรื่องหมอคนสวยเข้ามาเกี่ยว ก็คงไม่มีหนังเรื่องนี้เกิดขึ้น
ผู้แต่งบอกว่า เรื่องนี้เกิดจากประสบการณ์ตรงที่ตนเองไปตรวจแล้วเจอหมออายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่น่ารักจนเขิน
ผมแอบคิดว่า ถ้ายุ่นไป รพ. แล้วไปเจอหมอแก่ๆ หัวล้าน ที่ไม่ใช่หมอสาวสุดสวยอย่าง "หมออิม" (ใหม่ ดาวิกา) ล่ะ จะทำยังไง
หนังเรื่องนี้จะเกิดอะไรขึ้น เรื่องจะไปทางไหน และถ้าหมอคนที่ตรวจยุ่น ไม่สนใจอะไรเลยนอกจากตรวจให้เสร็จๆไป ไม่ว่ายุ่นจะกินยาหรือไม่กินก็ไม่สน หนังจะเดินต่อและจบแบบไหน (ยุ่นแม่งไม่เชื่อหมอและขัดคำสั่งหมอตลอด โดยเฉพาะเรื่องกินยาที่มันจะง่วงนอน ซึ่งยุ่นไม่ยอมกินเพราะห่วงว่าจะทำงานไม่เสร็จ)
หลังจากไปพบหมอหลายครั้ง (เดือนละครั้ง) ยุ่นก็ตัดสินใจว่าจะทำตามที่หมอสั่ง โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่า จะทำไปทำไม (ตอนหลังมีเฉลยจากไก่ เพื่อนรุ่นน้องของยุ่น ว่า ก็เพราะยุ่นรู้สึกชอบหมอไปแล้ว ก็เลยอยากทำให้หมอเขาพอใจ เป็นเรื่องปกติของคนที่มีใจให้)
และหลังจากทำได้จนสำเร็จ ทั้งเรื่อง กินยาให้ครบ เรื่องนอนให้เพียงพอ เรื่องออกกำลังกาย แม้จะกระท่อนกระแท่น และขาดๆเกินๆ แต่ยุ่นก็ทำจนสำเร็จ แม้จะแลกมาด้วยการส่งงานที่คุณภาพต่ำกว่าที่ตนเองเคยทำได้ก็ตาม
(จากนี้คือสปอยล์ทะลวงไส้ เผยจุดเปลี่ยนและตอนจบของหนัง อยากดูหนัง อย่าอ่านนะครับ)
พอยุ่นรักษาจนหาย
เหตุผล ที่จะได้ไปเจอหมออิมอีกครั้ง ก็หมดไป
ตรงนี้ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม ยุ่นไม่ขอเบอร์หรือขอไลน์ของหมอมา เพื่ออย่างน้อย จะได้เอาไว้เป็นเพื่อน ไว้คุยนั่นนี่ไปเรื่อย ซึ่งตัวหนังก็เฉลยอีกว่า ครั้งสุดท้ายที่ยุ่นอกหัก คือตอนปี 2 ซึ่งน่าจะผ่านมาประมาณ 10 ปีได้แล้ว
นั่นแปลว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ ยุ่นมีแต่งานและงาน เรื่องจะทำความรู้จัก สนิทสนมพูดคุยกับเพศตรงข้าม คงไม่ได้ฝึกกันมาบ้างเลยแม้แต่น้อย ก็เลยมักจะเป็นฝ่ายที่เลือกจะ "เดินออกจากการสนทนา" มากกว่า "เริ่มบทสนนทนาใหม่ๆ"
แม้จะมีฉากที่คุณหมออิมนั้นเศร้า และยุ่นได้ชวนไปกินขนมของว่าง แต่ก็ทำได้แค่นั้น ยุ่นไม่สามารถเดินเกมส์สร้างความสัมพันธ์ต่อได้ แม้จะถามว่า หมอไม่มีแฟนเหรอ ไม่ชวนกันไปเที่ยวพักผ่อนอะไรบ้างล่ะ ก็ไม่มีปัญญา
ผมว่า เหมือนกับผู้ชายส่วนใหญ่นั่นแหละ ที่พอเจอใครที่เรา "ปิ๊ง" ก็มักจะทำอะไรไม่ถูก รวบรวมความกล้าหรือควบคุมพฤติกรรมตัวเองไม่ค่อยได้
และพอตอนจบ ก็ต้องมีนั่งเสียใจอยู่คนเดียว
ซึ่ง ตรงนี้ ยุ่นเสียใจ แค่เรื่องที่ว่า "จะไม่ได้เจอหมออีก"
แต่ยุ่นไม่ได้เสียใจ กับเรื่องที่ว่า "ตัวเองไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ" นั่นคือ "จีบหมอ"
อันนี้แหละที่ผมว่า มันน่าสนใจ เพราะผู้ชาย คือเพศนักล่า มีหน้าที่ออกล่า และแน่นอน เพศหญิง คือสิ่งที่เพศผู้ทุกตัวต้องแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้ได้มา
แต่ยุ่นไม่ใช่
ยุ่นเป็นชายที่ นอกจากเรื่อง "งาน" แล้ว .... แม่งไม่มีอย่างอื่นอยู่ในหัวจริงๆ
ผมถึงบอกว่า มันสุดโต่งเกินไปไง
มันมีนะ คนแบบนี้ ที่ญี่ปุ่นก็คือพวก "คาโรชิ" ทำงานจนตาย
แต่ที่ไทย มันไม่ค่อยมีหรอก คนไทยมันขี้เกียจกว่านั้น และจากภาพลักษณ์ที่สังคมพากันสร้างขึ้นมา คนส่วนใหญ่ "เห็นแก่ตัวเอง" มากกว่าคนอื่น แม้แต่ลูกค้า หรือความสำเร็จของผลงาน
พอยุ่นไม่ได้เจอหมอ ก็เลยรู้สึกเหมือน "อกหัก"
พอได้รับคำปรึกษาว่า เรื่อง "งาน" จะช่วยให้ลืมเรื่อง "รัก" ได้
เมื่องานเข้ามา (งานที่สุดหินมากๆ สเกลงาน 2 เดือน ยุ่นต้องทำภายใน 2 อาทิตย์)
ยุ่นจึงรับงานและจัดหนักจัดเต็มโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ที่ไหนอีก
ก่อนหน้านี้ ยุ่นมีรุ่นน้องที่เป็นเอเจนซี่คอยหางานมาให้ ชื่อ เจ๋ (วี ไวโอเลต จาก The Voice season 2 หรือไงนี่แหละ)
ซึ่งเจ๋กับยุ่น เป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานและพี่น้องที่ทำงานด้วยกันมาจนรู้กันหมดไส้หมดพุง พูดอะไรรู้กันหมด ไม่ต้องมากเรื่อง
แต่ถึงกระนั้น เจ๋ก็ยังเป็นคนนอกเรื่องสุขภาพของยุ่น ยุ่นปกปิดรอยผื่นไม่ให้เจ๋เห็น อาจเพราะกลัวว่า ถ้าเจ๋รู้ จะเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของยุ่นจนลดงานที่ส่งมาให้ยุ่นก็เป็นได้ ซึ่งเจ๋ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
เจ๋อาจจะเป็นสาวทำงานทึนทึก ไร้อารมณ์ ไม่มีมู้ด มีแต่ทำงาน งาน และก็งาน คล้ายๆกับยุ่น
แต่ เจ๋ก็มีแฟน และสุดท้าย ก็เลือก "ครอบครัว" มากกว่า "งาน"
จริงๆ นั่นน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนหรือจุดหักเหให้ยุ่นเริ่มหันกลับมามองชีวิตตัวเองดูบ้างว่า อะไรคือสิ่งสำคัญจริงๆของชีวิตคนเรา
และยิ่งพอเจ๋หายไป (ลาออกไปท้องลูก) ยุ่นก็เหมือนคนเคว้งคว้าง ไม่มีทั้งเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือพี่น้องเหลืออีก ยิ่งพอ "ผื่น" หาย ยุ่นก็ไม่สนใจอะไรอีก รับงานมั่วซั่ว ซึ่งถ้ามีเจ๋อยู่ เจ๋จะเป็นคนสกรีนงานให้ก่อนเสมอ ทำให้ยุ่นไม่โดนงานหนักจนเกินไป
และนั่น คือจุดพีคของเรื่อง
ยุ่น ที่พอหลงทาง ไม่มีทั้ง เจ๋ และไม่มีทั้งหมออิม ก็ผลักตัวเองไปสู่ "การทำงานที่บ้าคลั่งที่สุดในชีวิต" เผลอๆจะที่สุดในโลกเลยด้วยล่ะมั้ง
อดนอนต่อกันมากกว่า 12 วัน
ฉี่เป็นเลือด
ผื่นเต็มตัว
และน็อคเอาท์ไปในที่สุด
ถูกจับส่งโรงพยาบาล โดยพี่ที่นับถือและเป็นคนส่งงานโหดหินนั่นมาให้
จุดพีคกว่านั้นคือ จะบังคับให้ยุ่นทำงานบนเตียงผู้ป่วยให้ได้อีก 5555 ตรงนี้ขำแกมปวดใจ คิดไปว่า มันยังมีด้วยเหรอวะ คนแบบนี้ เอเจนซี่ที่ไม่สนใจอะไรนอกจาก "ส่งงาน"
ซึ่งเชื่อผมเหอะ มีแน่นอนครับ
ในวงการร้านผ้าม่านผมก็เห็นมาเยอะครับ เจ้าของร้านที่ไม่สนใจใยดีช่างติดตั้งเลยแม้แต่น้อย
สุดท้าย ยุ่นเลือก "ยอมแพ้" ต่อร่างกายตัวเอง ตัดสินใจ ทิ้งงาน และเลือกคำตอบสุดท้ายว่า "กูไม่อยากตาย"
ตอนจบ ยุ่นได้กลับไปหาคุณหมออีกครั้ง
ไปขอโทษ สิ่งที่เคยทำไม่ดี
ไปสารภาพ (แบบอ้อมๆ) เกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับจากหมออิม
แต่
ตัวหนังก็ไม่ได้ระบุไปว่า หลังจากนี้ ทั้งสองคนจะเป็นยังไงต่อ
หมออิมทักไว้ตอนสุดท้ายประมาณว่า "ถ้าหายดี เราก็คงไม่ต้องเจอกันอีก"
ประโยคนี้ ช่างปวดใจสำหรับยุ่น
แต่ยุ่นคนใหม่ รับได้
เราไม่รู้ว่า หลังจากออกจากห้องตรวจไป ยุ่นจะได้กลับมาหาหมออิมอีกครั้งหรือไม่
ถ้าเป็นหนัง Rom-Com ทั่วไป
เมื่อยุ่นออกมาจากห้องตรวจแล้ว ยุ่นน่าจะต้องกลับเข้าไปหาหมอเพื่อสารภาพความรู้สึกอะไรบางอย่าง เพื่อจะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์
แต่ยุ่นคนใหม่ ที่ผ่านการ "เฉียดตาย" มาแล้ว อาจจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นก็เป็นได้ ว่า "ชีวิต" คืออะไรกันแน่
ตัวหนังไม่ได้ขยี้อะไรตรงนี้มากเท่าไหร่
ผมว่ามันยังเล่นได้อีกเยอะ
แม้จะเอาเรื่องรักเป็นเรื่องรองของพล็อตหนัง แต่เพราะความรู้สึกดีๆ ที่ผู้ชายสักคนมีให้ผู้หญิงคนหนึ่ง มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเอาได้ ไม่ว่าจะในทางที่ดีขึ้น (ยุ่นทำดีกับตัวเองเพื่อหมอ) หรือในทางแย่ลง (ยุ่นประชดทำงานหนักเพราะไม่ได้เจอหมออีก)
ผมว่า สำหรับเรื่องนี้ ประเด็นมันคือตรงนี้แหละ
"ความรัก" ไม่ว่ามันจะเบาบางแค่ไหน มันก็ "เปลี่ยน" อะไรบางอย่างของคนเราได้เสมอ
แต่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี หรือแย่ มันต้องขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าจะผลักดันมันไปทางไหน
สำหรับยุ่น มันเหมือน "สิ่งแปลกปลอมใหม่" ที่เข้ามาในชีวิตที่ระบบทั้งหมดมีแต่เจ๋กับงาน
พอเจอหมออิม ปฏิกริยาบางอย่างมันก็เกิดขึ้น และแม้จะแค่เดือนละครั้ง แต่ยุ่นก็ต้องเลือกที่จะ "เปลี่ยนแปลง" บางอย่าง (หรือหลายอย่าง) ตามสภาพตรงหน้าที่ตนเองต้องเผชิญ
สรุป
เรื่องนี้ ผมดูแล้วได้อะไรหลายอย่าง และหงุดหงิดหลายอย่างเช่นกัน
ชอบ
- ความสุดโต่ง ของชีวิต การไม่เข้าใจว่าอะไรควรไม่ควร มันแตกต่างจากอะไร "ทำได้" หรือ "ไม่ได้" ประเด็นนี้มันคือทุกอย่างของสังคม และลากคนทั่วไปให้ลงไปทำสิ่งที่ "ไม่ควร" แต่เพราะกู "ทำได้" ก็เลยทำ
- ความง่าย ความตรง ความ Real ของหนัง บทพูด เรื่องราว ความบังเอิญ ทุกอย่างมันทำให้เราคิดได้ว่า มันเกิดขึ้นในชีวิตจริงของเราได้หมด แทบไม่มีส่วนไหนที่เว่อร์จนเกินควรเลย
- บทเรียน เชื่อผมเหอะ มันไม่ค่อยมีหรอก คนอย่างยุ่นน่ะ แต่หนังก็ทำให้เราได้เห็น ว่า ถ้าไม่สนในร่างกายเลย จะเกิดอะไรขึ้น และผมว่า ยุคนี้ มันเป็นยุคของสุขภาพ เรื่องใกล้ตัวที่เห็นได้บ่อยๆก็คือ คนชอบทำงานจนเลยเวลากินข้าว อดนอนหลายๆคืนติดๆกัน (นอนดึก) หรือมีเหตุผลร้อยแปดที่จะไม่ดูแลสุขภาพของตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้ว มันเป็น "ข้ออ้าง" ทั้งหมด
- การสร้าง เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างแค่ 16 ล้าน บวกกับเวลาการถ่ายทำทั้งหมดแค่ 16 วัน และหลังจากหนังเข้าโรงได้ 2 วัน ก็สร้างรายได้ไป 20 ล้านแล้ว เรื่องนี้คงคืนทุนได้ไม่ยาก ชอบตรงเลือกโจทย์ไม่ต้องยากมาก แต่หนังมันก็สร้างออกมาได้จนจบ เหมือน Saw ที่ใช้ทุนสร้างแค่ล้านเดียว แต่สร้างรายได้ไปหลายสิบล้านทั่วโลก ส่งให้เจมส์ วาน เป็นผกก.ดาวรุ่งของวงการไปเลยทีเดียว ดีกว่าหนังต้นทุนสูงเว่อร์ๆ ที่พอเข้าโรงฉาย ก็ต้องมานั่งลุ้นว่า มันจะไปได้ถึงไหนกันนะ จะคุ้มหรือเปล่า เสียวเกิ๊น
ไม่ชอบ
- การหลอกคนดูใน Teaser ว่าตัวหนังน่าจะเป็นหนัง Romantic-Comedy ตามสูตรสำเร็จ แต่พอเข้ามาในโรง ดูจนจบ อ้าว หลอกคนดูสุดๆอ่ะ มันไม่ใช่ นี่มันหนังดราม่าและอินดี้สุดๆ ซึ่งพอมาดูผลงานของ ผกก. ก็เลยถึงบางอ้อ ว่า อะเคร สไตล์เขามันแบบนี้ และ GTH ก็ไม่ได้ตอบโจทย์อยู่แค่การสร้างหนังตามสูตรสำเร็จแค่แนวเดียว
- การที่ทั้งยุ่นและหมออิม เสือกเป็นคนประเภทคล้ายๆกัน ที่ทำแต่งานๆๆ และไม่สนใจอะไรอย่างอื่นเท่าไหร่ การเดินเรื่องเกี่ยวกับ "ความรัก" หรือแม้แต่ "ความรู้สึกดีๆ" ก็เลยรู้สึกว่ามัน น้อยโคตรๆ สำหรับหนังที่มันมีเรื่องรักๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
- การเสนอ "สิ่งที่ได้เรียนรู้" มันน้อยไปหน่อย จริงๆ สำหรับยุ่นที่ผ่านความตายมาอย่างฉิวเฉียด น่าจะมีการสื่อสารกับคนดูมากกว่านี้หน่อย ว่าประสบการณ์ที่ได้รับ มันมีค่ามหาศาลมากแค่ไหน
คะแนน.... 6/10
ไม่ใช่หนังไม่ดี แต่ผมไม่ชอบที่ดึงคนดูให้เข้ามาดูแล้วรู้สึกเหมือนถูกหลอก ผมว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบ ที่หนังมันย่อยยาก และไม่ได้เป็นหนังที่คนตั้งใจมาดูแต่แรก
หลายๆอย่างในหนังมันดี แต่ในเมื่อมันเป็นหนังอินดี้ที่พาผู้ชมไปสู่อารมณ์เหงาๆ อึนๆ ก็น่าจะถ่ายทอดแบบนั้นลงไปใน Teaser หนัง ไม่ใช่บอกว่า "นี่คือหนัง GTH ที่มีซันนี่และใหม่แสดง" เท่านั้ัน
ตัวเรื่องไม่มีอะไรมาก เป็นเส้นตรงที่ไม่ได้ซับซ้อน การแสดงของใหม่ยังคงธรรมดาถ้าเทียบกับซันนี่ที่เข้าถึงบทได้มากกว่า ส่วนเจ๋ ตัวหลักที่เล่นเหมือนตัวประกอบก็ยังขาดๆเกินๆและไม่ได้มีอะไรเด่นเท่าไหร่นัก อาจเพราะเป็นมือสมัครเล่น แต่ผมชอบไก่ ที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องในเซเว่นของยุ่นมากที่สุด หมอนี่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ
มุขตลก มันคือหนังอินดี้ มุขตลกส่วนใหญ่มันเป็นตลกร้ายนิดๆที่ต้องคิดต่อไปอีกหน่อย ไม่ใช่ตลกเอาฮาแบบโจ๊ก โซคูล ที่ออกมาเก๊กหน้าก็ขำแล้ว หรือแจ๊ค แฟนฉันที่ทำหน้าจริงจังแต่กลับได้ความฮา หนังเรื่องนี้ มันดีตรงที่ "ทำยังไงให้ตลกโดยไม่ต้องตลก" นี่แหละ ส่วนดีของหนัง
และตอนจบที่ไม่พีคเลยยยย ธรรมดาและฝากให้คนดูไปคิดต่อระหว่างนั่งรถกลับบ้านที่มันก็...นะ
ถ้าไม่มีเรื่อง "หลอกคนดู" ผมอาจจะให้สัก 8 คะแนนก็ได้
จริงๆ มันแทบไม่เกี่ยวอะไรกับร้านผ้าม่านของผมเลย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากพูดถึงบ้าง ในฐานะคนที่ชอบดูหนังคนหนึ่ง
และยิ่งเรื่องนี้ เป็นหนังของ GTH ค่ายทำหนังน้ำดีที่ต่อให้ทำหนังได้ห่วยแค่ไหน ยังไงก็กลายเป็นหนังทำเงินอยู่ดี
เนื่องด้วยเพราะทีมงาน โดยเฉพาะผู้กำกับ และนักแสดงที่ไม่เน้นนักแสดงในกระแสเท่าไหร่นัก (แม้เรื่องนี้จะมีตัวเด่นคือ ซันนี่ กับ ใหม่ ดาวิกา เป็นตัวชูโรง)
ก่อนดู
แน่นอนครับ เข้าใจเหมือนที่ทุกคนเข้าในนั่นแหละ ว่ามันน่าจะเป็นหนัง Romantic-Comedy ตามสไตล์ที่ GTH ถนัด และสร้างออกมาต้องปล่อยให้คนที่เข้าไปดูในโรงออกมาด้วยความฟินเกินบรรยาย
แต่....
แต่ครับผม....
พอเข้าไปดู
ตัวหนังไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่า Rom-Com เลยแม้แต่น้อย
คือ เนื้อเรื่องหลัก 80% พูดถึง ยุ่น พระเอก ผู้ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ กราฟฟิคดีไซน์เนอร์ คือ ทำรีทัชภาพ ตัดแต่ง ออกแบบภาพโฆษณาตามที่ลูกค้าต้องการ
ซึ่งส่วนตัวผมเอง ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ว่าทำไมมันต้อง "ฝืน" ร่างกายเพื่อให้ทำงานได้มากและหนักขนาดนั้นด้วย
พระเอกเฉลยนิดหน่อยตามหลักเหตุผลของคนทำงาน Freelane ว่า
"ก็ถ้าเราเลือกงาน ไม่รับงาน เดี๋ยวลูกค้าเขาก็ไปจ้างคนอื่นทำ แล้วเราก็จะไม่มีงานทำเอา"
ซึ่ง จริงๆ ลูกจ้างฟรีแลนซ์ร้านผมก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันครับ
ช่างติดตั้งผ้าม่านหลายๆคนก็ไม่ค่อยจะอยากปฏิเสธงานลูกค้าเท่าไหร่ เพราะถ้าเรื่องมาก เลือกเยอะ ก็อาจจะชวดงาน เสียรายได้ไปได้
แต่ว่า
ตัวหนังก็สื่อสารกับคนดูให้เห็นว่า "การทำงานหนัก" ต้องแลกด้วยอะไรมาบ้าง
ยุ่น พระเอกนั้น เป็นฟรีแลนซ์บ้างานตัวพ่อ ที่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ความเหนื่อยหรือสภาพร่างกายของตัวเอง
ความสุขอย่างเดียวของเขาคือ การที่ลูกค้า "ชม" ผลงานเขาแค่คำเดียว เขาก็มีความสุขมากมายมหาศาลแล้ว
แต่สุดท้าย ร่างกายมันก็ส่งสาส์นออกมาครับ
ไอ้ "ผื่น" ที่ร่างกายมันแสดงออกมานั้น (ตามที่คุณหมอบอก) มันเป็นเหมือน "ข้อความ" ที่ร่างกายบอกเจ้าของร่างว่า "กูไม่ไหวแล้วนะ ไอ้สัส" เพื่อให้เจ้าของร่างนั้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มัน "เพี้ยน" จนออกนอกลู่นอกทางไปเยอะ
หลายๆคนคงเคยทำแบบยุ่นบ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะครับ เรื่อง "อดนอน" เนี่ย
ถ้าต้องเรียน ต้องอ่านหนังสือสอบ ก็มักจะมีสภาพไม่ต่างกันนัก
แต่กับเรื่องทำงาน เท่าที่ผมประสบพบเจอมา ถ้าเป็นลูกจ้าง ส่วนใหญ่มักไม่ได้อดนอนติดกันหนักขนาดนี้หรอกครับ อย่างมาก ก็แค่ข้ามคืน แล้วร่างกายมันก็ไม่ไหวแล้ว ทำงานต่อไม่ได้หรอก
แต่ยุ่นนั้น ฝืนต่อไปเรื่อยๆ จนอดนอนได้ติดกัน 4-5 วันเลยทีเดียว
ลองนึกสภาพคนอดนอนติดต่อกันนับหลายสิบชม.ดูสิครับ
ผมว่า ไม่ต้องรอให้ผื่นขึ้นหรอก แค่อาการปวดหัว อาหารไม่ย่อย ภาพเบลอ แค่นี้ เราก็ล้มพับจับหมอนนอนยัน 10 ชม.แล้วครับ
แต่ยุ่นไม่ใช่
เขาสร้างตัวเองให้กลายเป็นคนทำงานที่ "สุดโต่ง" ไปทางด้านนู้น
ถ้ามีใครสักคนที่เป็นพนง.ประจำและขี้เกียจมากๆ ทำงานเช้าชามเย็นชาม
ยุ่นคือคนที่อยู่ตรงข้ามคนๆนั้นครับ
เขาทำงานอย่างบ้าคลั่ง เอาเป็นเอาตาย และไม่สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจาก "การทำงานให้สำเร็จ" โดยที่ไม่สนใจอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่ร่างกายของตัวเอง
ตัวหนังช่วงแรกยังไม่มีอะไรมากครับ
ยุ่นตัดสินใจไปพบหมอ ทั้งที่ตัวเองไม่อยากไป ขณะเดียวกันก็ปกปิด "สภาพ" ของร่างกายที่มีผื่นเหล่านั้น และทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น บอกกับคนอื่นและตัวเองว่า "กูปกติ"
จุดเปลี่ยนอย่างแรกคือเรื่อง "ผื่น"
ลากไปสู่ผลลัพธ์ของการไปพบ "หมอ"
ซึ่งก็อย่างที่เห็นครับ ถ้าไม่มีเรื่องหมอคนสวยเข้ามาเกี่ยว ก็คงไม่มีหนังเรื่องนี้เกิดขึ้น
ผู้แต่งบอกว่า เรื่องนี้เกิดจากประสบการณ์ตรงที่ตนเองไปตรวจแล้วเจอหมออายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่น่ารักจนเขิน
ผมแอบคิดว่า ถ้ายุ่นไป รพ. แล้วไปเจอหมอแก่ๆ หัวล้าน ที่ไม่ใช่หมอสาวสุดสวยอย่าง "หมออิม" (ใหม่ ดาวิกา) ล่ะ จะทำยังไง
หนังเรื่องนี้จะเกิดอะไรขึ้น เรื่องจะไปทางไหน และถ้าหมอคนที่ตรวจยุ่น ไม่สนใจอะไรเลยนอกจากตรวจให้เสร็จๆไป ไม่ว่ายุ่นจะกินยาหรือไม่กินก็ไม่สน หนังจะเดินต่อและจบแบบไหน (ยุ่นแม่งไม่เชื่อหมอและขัดคำสั่งหมอตลอด โดยเฉพาะเรื่องกินยาที่มันจะง่วงนอน ซึ่งยุ่นไม่ยอมกินเพราะห่วงว่าจะทำงานไม่เสร็จ)
หลังจากไปพบหมอหลายครั้ง (เดือนละครั้ง) ยุ่นก็ตัดสินใจว่าจะทำตามที่หมอสั่ง โดยที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่า จะทำไปทำไม (ตอนหลังมีเฉลยจากไก่ เพื่อนรุ่นน้องของยุ่น ว่า ก็เพราะยุ่นรู้สึกชอบหมอไปแล้ว ก็เลยอยากทำให้หมอเขาพอใจ เป็นเรื่องปกติของคนที่มีใจให้)
และหลังจากทำได้จนสำเร็จ ทั้งเรื่อง กินยาให้ครบ เรื่องนอนให้เพียงพอ เรื่องออกกำลังกาย แม้จะกระท่อนกระแท่น และขาดๆเกินๆ แต่ยุ่นก็ทำจนสำเร็จ แม้จะแลกมาด้วยการส่งงานที่คุณภาพต่ำกว่าที่ตนเองเคยทำได้ก็ตาม
(จากนี้คือสปอยล์ทะลวงไส้ เผยจุดเปลี่ยนและตอนจบของหนัง อยากดูหนัง อย่าอ่านนะครับ)
พอยุ่นรักษาจนหาย
เหตุผล ที่จะได้ไปเจอหมออิมอีกครั้ง ก็หมดไป
ตรงนี้ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม ยุ่นไม่ขอเบอร์หรือขอไลน์ของหมอมา เพื่ออย่างน้อย จะได้เอาไว้เป็นเพื่อน ไว้คุยนั่นนี่ไปเรื่อย ซึ่งตัวหนังก็เฉลยอีกว่า ครั้งสุดท้ายที่ยุ่นอกหัก คือตอนปี 2 ซึ่งน่าจะผ่านมาประมาณ 10 ปีได้แล้ว
นั่นแปลว่า 10 ปีที่ผ่านมานี้ ยุ่นมีแต่งานและงาน เรื่องจะทำความรู้จัก สนิทสนมพูดคุยกับเพศตรงข้าม คงไม่ได้ฝึกกันมาบ้างเลยแม้แต่น้อย ก็เลยมักจะเป็นฝ่ายที่เลือกจะ "เดินออกจากการสนทนา" มากกว่า "เริ่มบทสนนทนาใหม่ๆ"
แม้จะมีฉากที่คุณหมออิมนั้นเศร้า และยุ่นได้ชวนไปกินขนมของว่าง แต่ก็ทำได้แค่นั้น ยุ่นไม่สามารถเดินเกมส์สร้างความสัมพันธ์ต่อได้ แม้จะถามว่า หมอไม่มีแฟนเหรอ ไม่ชวนกันไปเที่ยวพักผ่อนอะไรบ้างล่ะ ก็ไม่มีปัญญา
ผมว่า เหมือนกับผู้ชายส่วนใหญ่นั่นแหละ ที่พอเจอใครที่เรา "ปิ๊ง" ก็มักจะทำอะไรไม่ถูก รวบรวมความกล้าหรือควบคุมพฤติกรรมตัวเองไม่ค่อยได้
และพอตอนจบ ก็ต้องมีนั่งเสียใจอยู่คนเดียว
ซึ่ง ตรงนี้ ยุ่นเสียใจ แค่เรื่องที่ว่า "จะไม่ได้เจอหมออีก"
แต่ยุ่นไม่ได้เสียใจ กับเรื่องที่ว่า "ตัวเองไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ" นั่นคือ "จีบหมอ"
อันนี้แหละที่ผมว่า มันน่าสนใจ เพราะผู้ชาย คือเพศนักล่า มีหน้าที่ออกล่า และแน่นอน เพศหญิง คือสิ่งที่เพศผู้ทุกตัวต้องแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้ได้มา
แต่ยุ่นไม่ใช่
ยุ่นเป็นชายที่ นอกจากเรื่อง "งาน" แล้ว .... แม่งไม่มีอย่างอื่นอยู่ในหัวจริงๆ
ผมถึงบอกว่า มันสุดโต่งเกินไปไง
มันมีนะ คนแบบนี้ ที่ญี่ปุ่นก็คือพวก "คาโรชิ" ทำงานจนตาย
แต่ที่ไทย มันไม่ค่อยมีหรอก คนไทยมันขี้เกียจกว่านั้น และจากภาพลักษณ์ที่สังคมพากันสร้างขึ้นมา คนส่วนใหญ่ "เห็นแก่ตัวเอง" มากกว่าคนอื่น แม้แต่ลูกค้า หรือความสำเร็จของผลงาน
พอยุ่นไม่ได้เจอหมอ ก็เลยรู้สึกเหมือน "อกหัก"
พอได้รับคำปรึกษาว่า เรื่อง "งาน" จะช่วยให้ลืมเรื่อง "รัก" ได้
เมื่องานเข้ามา (งานที่สุดหินมากๆ สเกลงาน 2 เดือน ยุ่นต้องทำภายใน 2 อาทิตย์)
ยุ่นจึงรับงานและจัดหนักจัดเต็มโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ที่ไหนอีก
ก่อนหน้านี้ ยุ่นมีรุ่นน้องที่เป็นเอเจนซี่คอยหางานมาให้ ชื่อ เจ๋ (วี ไวโอเลต จาก The Voice season 2 หรือไงนี่แหละ)
ซึ่งเจ๋กับยุ่น เป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานและพี่น้องที่ทำงานด้วยกันมาจนรู้กันหมดไส้หมดพุง พูดอะไรรู้กันหมด ไม่ต้องมากเรื่อง
แต่ถึงกระนั้น เจ๋ก็ยังเป็นคนนอกเรื่องสุขภาพของยุ่น ยุ่นปกปิดรอยผื่นไม่ให้เจ๋เห็น อาจเพราะกลัวว่า ถ้าเจ๋รู้ จะเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของยุ่นจนลดงานที่ส่งมาให้ยุ่นก็เป็นได้ ซึ่งเจ๋ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
เจ๋อาจจะเป็นสาวทำงานทึนทึก ไร้อารมณ์ ไม่มีมู้ด มีแต่ทำงาน งาน และก็งาน คล้ายๆกับยุ่น
แต่ เจ๋ก็มีแฟน และสุดท้าย ก็เลือก "ครอบครัว" มากกว่า "งาน"
จริงๆ นั่นน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนหรือจุดหักเหให้ยุ่นเริ่มหันกลับมามองชีวิตตัวเองดูบ้างว่า อะไรคือสิ่งสำคัญจริงๆของชีวิตคนเรา
และยิ่งพอเจ๋หายไป (ลาออกไปท้องลูก) ยุ่นก็เหมือนคนเคว้งคว้าง ไม่มีทั้งเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือพี่น้องเหลืออีก ยิ่งพอ "ผื่น" หาย ยุ่นก็ไม่สนใจอะไรอีก รับงานมั่วซั่ว ซึ่งถ้ามีเจ๋อยู่ เจ๋จะเป็นคนสกรีนงานให้ก่อนเสมอ ทำให้ยุ่นไม่โดนงานหนักจนเกินไป
และนั่น คือจุดพีคของเรื่อง
ยุ่น ที่พอหลงทาง ไม่มีทั้ง เจ๋ และไม่มีทั้งหมออิม ก็ผลักตัวเองไปสู่ "การทำงานที่บ้าคลั่งที่สุดในชีวิต" เผลอๆจะที่สุดในโลกเลยด้วยล่ะมั้ง
อดนอนต่อกันมากกว่า 12 วัน
ฉี่เป็นเลือด
ผื่นเต็มตัว
และน็อคเอาท์ไปในที่สุด
ถูกจับส่งโรงพยาบาล โดยพี่ที่นับถือและเป็นคนส่งงานโหดหินนั่นมาให้
จุดพีคกว่านั้นคือ จะบังคับให้ยุ่นทำงานบนเตียงผู้ป่วยให้ได้อีก 5555 ตรงนี้ขำแกมปวดใจ คิดไปว่า มันยังมีด้วยเหรอวะ คนแบบนี้ เอเจนซี่ที่ไม่สนใจอะไรนอกจาก "ส่งงาน"
ซึ่งเชื่อผมเหอะ มีแน่นอนครับ
ในวงการร้านผ้าม่านผมก็เห็นมาเยอะครับ เจ้าของร้านที่ไม่สนใจใยดีช่างติดตั้งเลยแม้แต่น้อย
สุดท้าย ยุ่นเลือก "ยอมแพ้" ต่อร่างกายตัวเอง ตัดสินใจ ทิ้งงาน และเลือกคำตอบสุดท้ายว่า "กูไม่อยากตาย"
ตอนจบ ยุ่นได้กลับไปหาคุณหมออีกครั้ง
ไปขอโทษ สิ่งที่เคยทำไม่ดี
ไปสารภาพ (แบบอ้อมๆ) เกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับจากหมออิม
แต่
ตัวหนังก็ไม่ได้ระบุไปว่า หลังจากนี้ ทั้งสองคนจะเป็นยังไงต่อ
หมออิมทักไว้ตอนสุดท้ายประมาณว่า "ถ้าหายดี เราก็คงไม่ต้องเจอกันอีก"
ประโยคนี้ ช่างปวดใจสำหรับยุ่น
แต่ยุ่นคนใหม่ รับได้
เราไม่รู้ว่า หลังจากออกจากห้องตรวจไป ยุ่นจะได้กลับมาหาหมออิมอีกครั้งหรือไม่
ถ้าเป็นหนัง Rom-Com ทั่วไป
เมื่อยุ่นออกมาจากห้องตรวจแล้ว ยุ่นน่าจะต้องกลับเข้าไปหาหมอเพื่อสารภาพความรู้สึกอะไรบางอย่าง เพื่อจะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์
แต่ยุ่นคนใหม่ ที่ผ่านการ "เฉียดตาย" มาแล้ว อาจจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นก็เป็นได้ ว่า "ชีวิต" คืออะไรกันแน่
ตัวหนังไม่ได้ขยี้อะไรตรงนี้มากเท่าไหร่
ผมว่ามันยังเล่นได้อีกเยอะ
แม้จะเอาเรื่องรักเป็นเรื่องรองของพล็อตหนัง แต่เพราะความรู้สึกดีๆ ที่ผู้ชายสักคนมีให้ผู้หญิงคนหนึ่ง มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเอาได้ ไม่ว่าจะในทางที่ดีขึ้น (ยุ่นทำดีกับตัวเองเพื่อหมอ) หรือในทางแย่ลง (ยุ่นประชดทำงานหนักเพราะไม่ได้เจอหมออีก)
ผมว่า สำหรับเรื่องนี้ ประเด็นมันคือตรงนี้แหละ
"ความรัก" ไม่ว่ามันจะเบาบางแค่ไหน มันก็ "เปลี่ยน" อะไรบางอย่างของคนเราได้เสมอ
แต่จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี หรือแย่ มันต้องขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าจะผลักดันมันไปทางไหน
สำหรับยุ่น มันเหมือน "สิ่งแปลกปลอมใหม่" ที่เข้ามาในชีวิตที่ระบบทั้งหมดมีแต่เจ๋กับงาน
พอเจอหมออิม ปฏิกริยาบางอย่างมันก็เกิดขึ้น และแม้จะแค่เดือนละครั้ง แต่ยุ่นก็ต้องเลือกที่จะ "เปลี่ยนแปลง" บางอย่าง (หรือหลายอย่าง) ตามสภาพตรงหน้าที่ตนเองต้องเผชิญ
สรุป
เรื่องนี้ ผมดูแล้วได้อะไรหลายอย่าง และหงุดหงิดหลายอย่างเช่นกัน
ชอบ
- ความสุดโต่ง ของชีวิต การไม่เข้าใจว่าอะไรควรไม่ควร มันแตกต่างจากอะไร "ทำได้" หรือ "ไม่ได้" ประเด็นนี้มันคือทุกอย่างของสังคม และลากคนทั่วไปให้ลงไปทำสิ่งที่ "ไม่ควร" แต่เพราะกู "ทำได้" ก็เลยทำ
- ความง่าย ความตรง ความ Real ของหนัง บทพูด เรื่องราว ความบังเอิญ ทุกอย่างมันทำให้เราคิดได้ว่า มันเกิดขึ้นในชีวิตจริงของเราได้หมด แทบไม่มีส่วนไหนที่เว่อร์จนเกินควรเลย
- บทเรียน เชื่อผมเหอะ มันไม่ค่อยมีหรอก คนอย่างยุ่นน่ะ แต่หนังก็ทำให้เราได้เห็น ว่า ถ้าไม่สนในร่างกายเลย จะเกิดอะไรขึ้น และผมว่า ยุคนี้ มันเป็นยุคของสุขภาพ เรื่องใกล้ตัวที่เห็นได้บ่อยๆก็คือ คนชอบทำงานจนเลยเวลากินข้าว อดนอนหลายๆคืนติดๆกัน (นอนดึก) หรือมีเหตุผลร้อยแปดที่จะไม่ดูแลสุขภาพของตัวเอง ซึ่งจริงๆแล้ว มันเป็น "ข้ออ้าง" ทั้งหมด
- การสร้าง เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างแค่ 16 ล้าน บวกกับเวลาการถ่ายทำทั้งหมดแค่ 16 วัน และหลังจากหนังเข้าโรงได้ 2 วัน ก็สร้างรายได้ไป 20 ล้านแล้ว เรื่องนี้คงคืนทุนได้ไม่ยาก ชอบตรงเลือกโจทย์ไม่ต้องยากมาก แต่หนังมันก็สร้างออกมาได้จนจบ เหมือน Saw ที่ใช้ทุนสร้างแค่ล้านเดียว แต่สร้างรายได้ไปหลายสิบล้านทั่วโลก ส่งให้เจมส์ วาน เป็นผกก.ดาวรุ่งของวงการไปเลยทีเดียว ดีกว่าหนังต้นทุนสูงเว่อร์ๆ ที่พอเข้าโรงฉาย ก็ต้องมานั่งลุ้นว่า มันจะไปได้ถึงไหนกันนะ จะคุ้มหรือเปล่า เสียวเกิ๊น
ไม่ชอบ
- การหลอกคนดูใน Teaser ว่าตัวหนังน่าจะเป็นหนัง Romantic-Comedy ตามสูตรสำเร็จ แต่พอเข้ามาในโรง ดูจนจบ อ้าว หลอกคนดูสุดๆอ่ะ มันไม่ใช่ นี่มันหนังดราม่าและอินดี้สุดๆ ซึ่งพอมาดูผลงานของ ผกก. ก็เลยถึงบางอ้อ ว่า อะเคร สไตล์เขามันแบบนี้ และ GTH ก็ไม่ได้ตอบโจทย์อยู่แค่การสร้างหนังตามสูตรสำเร็จแค่แนวเดียว
- การที่ทั้งยุ่นและหมออิม เสือกเป็นคนประเภทคล้ายๆกัน ที่ทำแต่งานๆๆ และไม่สนใจอะไรอย่างอื่นเท่าไหร่ การเดินเรื่องเกี่ยวกับ "ความรัก" หรือแม้แต่ "ความรู้สึกดีๆ" ก็เลยรู้สึกว่ามัน น้อยโคตรๆ สำหรับหนังที่มันมีเรื่องรักๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
- การเสนอ "สิ่งที่ได้เรียนรู้" มันน้อยไปหน่อย จริงๆ สำหรับยุ่นที่ผ่านความตายมาอย่างฉิวเฉียด น่าจะมีการสื่อสารกับคนดูมากกว่านี้หน่อย ว่าประสบการณ์ที่ได้รับ มันมีค่ามหาศาลมากแค่ไหน
คะแนน.... 6/10
ไม่ใช่หนังไม่ดี แต่ผมไม่ชอบที่ดึงคนดูให้เข้ามาดูแล้วรู้สึกเหมือนถูกหลอก ผมว่าคนส่วนใหญ่ไม่ชอบ ที่หนังมันย่อยยาก และไม่ได้เป็นหนังที่คนตั้งใจมาดูแต่แรก
หลายๆอย่างในหนังมันดี แต่ในเมื่อมันเป็นหนังอินดี้ที่พาผู้ชมไปสู่อารมณ์เหงาๆ อึนๆ ก็น่าจะถ่ายทอดแบบนั้นลงไปใน Teaser หนัง ไม่ใช่บอกว่า "นี่คือหนัง GTH ที่มีซันนี่และใหม่แสดง" เท่านั้ัน
ตัวเรื่องไม่มีอะไรมาก เป็นเส้นตรงที่ไม่ได้ซับซ้อน การแสดงของใหม่ยังคงธรรมดาถ้าเทียบกับซันนี่ที่เข้าถึงบทได้มากกว่า ส่วนเจ๋ ตัวหลักที่เล่นเหมือนตัวประกอบก็ยังขาดๆเกินๆและไม่ได้มีอะไรเด่นเท่าไหร่นัก อาจเพราะเป็นมือสมัครเล่น แต่ผมชอบไก่ ที่เป็นเพื่อนรุ่นน้องในเซเว่นของยุ่นมากที่สุด หมอนี่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ
มุขตลก มันคือหนังอินดี้ มุขตลกส่วนใหญ่มันเป็นตลกร้ายนิดๆที่ต้องคิดต่อไปอีกหน่อย ไม่ใช่ตลกเอาฮาแบบโจ๊ก โซคูล ที่ออกมาเก๊กหน้าก็ขำแล้ว หรือแจ๊ค แฟนฉันที่ทำหน้าจริงจังแต่กลับได้ความฮา หนังเรื่องนี้ มันดีตรงที่ "ทำยังไงให้ตลกโดยไม่ต้องตลก" นี่แหละ ส่วนดีของหนัง
และตอนจบที่ไม่พีคเลยยยย ธรรมดาและฝากให้คนดูไปคิดต่อระหว่างนั่งรถกลับบ้านที่มันก็...นะ
ถ้าไม่มีเรื่อง "หลอกคนดู" ผมอาจจะให้สัก 8 คะแนนก็ได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น