อยากเริ่มต้นธุรกิจ ไม่รู้จะทำยังไงดี? - คำถามโลกแตก ผมไม่มีทุน ไม่รู้จะทำอะไร? - รัชนาผ้าม่าน ร้านผ้าม่าน ศรีราชา
(นี่เป็นบทความที่ยาวที่สุดที่ผมเขียนขึ้นมาเลย 3000 กว่า word แน่ะ)
ช่วงนี้มีแต่คำถามแนวๆนี้
จริงๆมันก็ไม่ใช่แค่ช่วงนี้หรอกครับ
มันทุกช่วงนั่นแหละ คำถามเหล่านี้มักจะกระเด็นมาเข้าหูผม
ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สัก 3 ปี
ผมเองก็เป็นอีกคนนึงล่ะที่มีคำถามแบบนี้ติดอยู่ในหัวเหมือนกัน
ในโลกที่ปัจจุบันมีแต่เซเล็ปทางความคิด ตัวอย่างของความสำเร็จ และผู้นำทางทัศนคติ ลอยละล่องอยู่เกลื่อนเฟซบุคเต็มไปหมด
ร้านผ้าม่าน ศรีราชา
ถ้าใครไม่ได้เล่นเฟซฯ ก็คงไม่ได้พบเรื่องราวเหล่านี้มากมายนัก
แต่สำหรับคนที่เล่นเฟซฯ รับรองครับ ว่าวันๆนึงต้องเห็น Feed โฆษณาต่างๆที่เด้งเข้ามาในหน้า wall ของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ตลอดเวลา
"อยากเริ่มธุรกิจต้องทำยังไง?"
"สัมมนาเชิงวิชาการ"
"แนวคิดการสร้างธุรกิจชั้นยอด"
นี่ยังไม่รวมถึงพวก
"ขายครีมหน้าขาว"
"กระเป๋านำเข้า"
"เสื้อผ้าแฟชั่นอินเทรนด์"
ที่ปลิวกันว่อนเกลื่อนเฟซไปหมด
ร้านผ้าม่าน ชลบุรี
อีกทั้งรอบๆตัวเรา เราก็ยังมองเห็นเพื่อนสนิทไม่สนิทที่พากันตบเท้าเข้าสู่โลกของธุรกิจกันอย่างสม่ำเสมอ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ส่วนมากเราจะจำได้แต่พวกสำเร็จ
และพวกเขานั้นช่าง "น่าอิจฉา" เสียนี่กระไร
ล่าสุดมีเพื่อนร่วมงานคนนึงของผมเข้ามาพูดคุยด้วย
เขาเป็นล่าม ทำหน้าที่แปลเอกสารและตามคนญี่ปุ่นเข้าไปในไลน์เพื่อสื่อสารกับพนง.ในพื้นที่ทำงาน
เขาเล่าให้ฟังว่า
กำลังสนใจจะไปลองฟังธุรกิจขายตรงตัวหนึ่ง
ผมถามว่าทำไมถึงสนใจ
ผ้าม่าน ศรีราชา
เขาบอกว่า เพื่อนเก่าเขาคนนึงที่รู้จักกันมานาน
หมอนั่นก็ทำธุรกิจนี้มาหลายปี ก่อนหน้านี้สัก 4 ปีได้ เห็นว่ามีรายได้หลายแสนต่อเดือน
ถ้าตอนนี้ก็น่าจะมีเป็นล้านแล้ว ล่าสุดเพิ่งถอยเบนซ์ป้ายแดงมาคันนึง
ผมออกตัวก่อนนะครับ
ว่าผมเองไม่ได้ anti หรือต่อต้านธุรกิจขายตรงแต่อย่างใด
เพราะผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่โตมากับธุรกิจพวกนี้
ผมไม่ได้ทำเองครับ พ่อแม่ผมทำ
ท่านทั้งสองหาเลี้ยงผมกับน้องชายด้วยรายได้ที่ได้มาจากธุรกิจขายตรงตัวหนึ่ง
ซึ่งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราดีขึ้นเรื่อยๆ และถือเป็นชนชั้นกลางระดับดีครอบครัวนึงเลยทีเดียว
แม้จะไม่ได้มีอะไรร่ำรวยอู้ฟู่มาก แต่ก็ไม่ต้องกระเบียดกระเสียดกัดก้อนเกลือกิน
เพราะฉะนั้น สำหรับผม ธุรกิจขายตรงก็เป็น "งาน" งานหนึ่ง
ที่เหมือนกับงานอื่นๆทั่วไปที่ถ้าทำจน "สำเร็จ" มันก็สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ลงมือทำ
ผ้าม่าน ชลบุรี
ผมถามเพื่อนร่วมงานของผมไปว่า
แล้วคุณน่ะ เคยไปฟังสัมมนาหรือประชุมของธุรกิจพวกนี้หรือเปล่า
เขาก็เล่าให้ผมฟังแบบรัวๆเลยว่า เขานั้นค่อนข้างแตกฉานในเรื่องพวกนี้พอสมควร
ผมก็ถามเขาว่า อ้าว ถ้างั้นแล้วทำไมไม่ทำซะล่ะ ในเมื่อเข้าใจมันดีถึงขนาดนี้
เขาก็อ้ำๆอึ้งๆ
ผมเลยถามต่อไปว่า
คุณไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าใช่มั้ย?
เขาพยักหน้าตอบว่าใช่
คุณไม่ชอบชวนใครซ้ำๆซากๆลากเขาไปประชุมตอนกลางคืนกลับบ้านดึกๆใช่มั้ย
คุณไม่ชอบสาธิตสินค้าให้คนไม่รู้จักฟังใช้มั้ย
คุณไม่ชอบเข้ากลุ่มสัมมนาเพิ่มความรู้ใช่มั้ย
คำตอบของทุกคำถามคือ "ใช่"
ร้านผ้าม่านศรีราชา
ก็นั่นไง
ปัญหาของคนหลายๆคนที่อยากจะ "สำเร็จ" คือ
เราพยายามจะเข้าใจธุรกิจที่เรายังไม่ได้ทำ จนพอถึงจุดหนึ่ง เราก็บอกตัวเองว่า "เราไม่ชอบ" ทั้งๆที่เรายังไม่ได้ลองทำ หรือเริ่มต้นอะไรทั้งสิ้น
ผมไม่ได้บอกเขาให้ไปทำธุรกิจขายตรงนั้นนะครับ
ผมบอกเขาว่า
ถามจริงๆ แล้วคุณชอบทำอะไร
เขาก็ตอบไม่ได้
ผมถามใหม่อีกว่า
แล้วคุณกะจะทำงานไปถึงเมื่อไหร่ หมายถึงเป็นลูกจ้างน่ะ จะทำไปอีกกี่ปี
เขาบอกว่าก็ทำไปเรื่อยๆได้
ผ้าม่าน ศรีราชา
ถึง 60 เลยมั้ย?
เขาตอบว่าไม่ล่ะ ไม่มีทาง
เห็นมั้ยครับ
ผมเชื่อเลยว่า ถ้าทุกคนไปถามคนที่นั่งทำงานประจำข้างๆ เขาจะตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยครับ
ว่า จะไม่มีทางทำงานไปจนเกษียณอายุแน่นอน
แต่.....
แล้วจะทำอะไรล่ะ ที่จะทำให้เราออกจากงานประจำได้น่ะ
ที่สำคัญ คือ "เมื่อไหร่" จะออกจากงานประจำได้
คนทุกคนที่ยังมีคำถามข้างต้น มักจะหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้
ร้านผ้าม่าน ศรีราชา
ผมได้รู้จักน้องๆที่ทำงานหลายคน ที่มีทั้งเริ่มธุรกิจไปแล้ว สำเร็จ ล้มเหลว ล้มเลิก กำลังจะเริ่มธุรกิจ มีแผน วางแผนไว้ มีไอเดียว ไปจนถึง ไม่มีความคิดอะไรเลย ปล่อยวันๆหมดไปเปล่าๆ
คนพวกนี้ ทุกคนเป็นคนเหมือนกันครับ ไม่ได้มีใครแตกต่างกันซักเท่าไหร่เลย
แต่พอผมสังเกตุดูดีๆ
ก็เห็นความแตกต่างครับ
คนทำงานประจำ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 99 บอกตัวเองว่า จะลาออกไปทำอะไรของตัวเองสักวันนึง
แต่พอผมถามว่า ไอ้ "สักวัน" ที่ว่าน่ะ "เมื่อไหร่?"
เขาก็ตอบกันไม่ได้
แต่ถ้าเอาคำถามนี้ไปถามคนที่ทำธุรกิจไปแล้ว และกำลังไปได้ด้วยดี
เขาจะมีคำตอบให้ หรือถ้าไม่มี เขาก็จะพยายามหาคำตอบมาให้จงได้
คนเหล่านี้ มีความคิดแตกต่างจากคนที่ไม่เริ่มธุรกิจอยู่พอสมควรครับ
พวกเขาที่ไปได้ไกลกว่านั้น มี "ทัศนคติ" เกี่ยวกับการมองเห็นชีวิตของตัวเองดีกว่าคนแบบที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ
ร้านผ้าม่านชลบุรี
ตอนนี้ โลกเราไปไกลมาก หมุนเร็วมาก
เราเห็นข่าวสารบ้านเมืองถึงอีกซีกโลกหนึ่ง มีคนแปลข่าวให้ โพสให้เราไปกดไลค์ที่ฟีดเขา จนเรื่องราวบทความต่างๆเด้งเข้ามาในเฟซเราไม่หยุด
จนวันนึง เราต้องมาถามตัวเองว่า "แล้วเราล่ะ เมื่อไหร่จะสำเร็จแบบเขาบ้าง?"
แต่รู้มั้ยครับ
คนส่วนใหญ่มักจะไม่หาคำตอบนั้น
ปล่อยให้คำถามนั้นวิ่งกระแทกยอดหน้าตัวเองอยู่ทุกวัน
สร้างแรงกดดันให้ตัวเองแบบฟุ่มเฟือยซ้ำไปซ้ำมา
ตื่นมาก็คิด จะทำอะไรดีว้า ออกไปทำงานประจำก็คิด จะทำอะไรดีน้อ กลับมาบ้านก็คิดอีก เอาไงดีว้า...
คิดเป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี ก็ไม่มีคำตอบ
ผมบอกรุ่นน้องคนนึงไปบริษัทไปเมื่อวานครับ ประมาณว่า
"พวกเราน่ะ ทำงานอยู่ในโรงงาน มองซ้ายมองขวาก็เห็นแต่คนทำงานโรงงาน พวกรุ่นพี่ที่ออกกันไป ส่วนใหญ่ก็ไปทำงานเกี่ยวกับโรงงาน ไปเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างมั่งล่ะ ไปเปิดบริษัทเป็นผู้รับเหมาทำงานในโรงงานมั่งล่ะ ไปเปิดบริษัทให้เช่ารถสิบล้อบ้างล่ะ พอเรามองไป ก็เห็นแต่คนทำธุรกิจแบบนั้น และพอมามองกลับดูตัวเอง ก็พบว่า ตัวเองไม่ได้มีความสามารถจะไปเริ่มต้นหรือทำอะไรแบบนั้นได้ เงินก็ไม่มี ทุนก็ไม่มี ความรู้ก็ไม่มี connection ก็ไม่มี ไม่มีอไรสักอย่าง เหมือนคนจะเดินทางไปเชียงใหม่ เห็นเขาขึ้นเครื่องกัน ตัวเองไม่มีเงิน ก็ไม่รู้จะเก็บจะออมยังไง ต่อให้มีเงิน ก็ไม่มีพาสปอร์ต จองตั๋วเครื่องบินเองก็ไม่เป็น ก็เลยไม่ได้เริ่มทำอะไรสักที
ทำไมไม่ลองตอบคำถามทีละข้อดูล่ะ
เริ่มจาก "เราชอบอะไร?"
ร้านผ้าม่านศรีราชา
แล้วลองค้นหาดูจริงๆจังๆ ว่าเราสามารถหารายได้จากสิ่งที่เราชอบได้อย่างไรบ้าง
ชอบรถ
ชอบแบบไหน ชอบล้างรถ ชอบดูแลรถ ชอบเห็นรถสวยๆ
หรือชอบซ่อมรถ
หรือชอบขายรถ
หรือชอบขับรถ
อะไรก็ได้
เริ่มค้นหาคำตอบพวกนี้ก่อน
เพราะปลายทางของสิ่งเหล่านี้ มันก็สร้าง "ธุรกิจ" ให้เราได้ทั้งนั้น
ถ้าตอนนี้เราไม่มีทุนจะเปิดร้าน
ก็หาให้เจอว่า จะเปิดร้าน ต้องมีทุนเท่าไหร่
หาทางลดต้นทุนมันลงมา
แล้วสร้างแนวทางที่จะมีเงินตรงนั้นมาลงทุนให้ได้ โดยป้องกันความเสี่ยงให้ดีที่สุด เผื่อเจ๊ง จะได้ไม่เจ็บตัวมากจนลุกขึ้นไม่ไหว"
ผ้าม่าน ศรีราชา
แฟนผมเริ่มธุรกิจผ้าม่าน ก็เริ่มจาก 0 ครับ
ศูนย์จริงๆ เพราะเธอไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผ้าม่านเลย
มีคนมาบอกว่า ทำร้านผ้าม่าน ทำแล้วดี กำไรงาม ไม่น่ายุ่งยากมาก
ก็แค่ลองทำ
ลองค้นหา ลองตรวจสอบ ลองคำนวณ ว่าเปิดร้าน ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่บ้าง ต้องวางระบบยังไง ต้องคุยกะลูกค้ายังไง
ปรากฏว่า ไอ้ที่ว่ามันแพงน่ะ มันแพงแค่ค่า "ร้าน" ครับ
คือ ค่าเช่า กับ ค่าตกแต่งร้าน เท่านั้น
นอกนั้น คือเงินหมุนทั้งหมด พอปิดดีลได้ ก็ได้เงินคืนมา เอาทุนตัดออกไปหมุนต่อ เอากำไรมาแบ่งสันปันส่วน ให้เงินเดือนตัวเอง คืนเงินที่กู้ แล้วแบ่งไปปิดหนี้อื่นๆที่เคยมีมา
ไม่นาน ร้านก็คืนทุน และก็เริ่มมีเงินมากพอจะซื้ออะไรต่างๆเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงปลดหนี้สินที่เคยมีมาแต่เก่าก่อนได้จนหมด
ทั้งหมดนี้ ใช้เวลาไม่ถึง 1 ปีครับ
บางคน มองธุรกิจที่ตัวเองจะทำ เป็นระดับ Mass
คือ ต้องมียอดเท่านั้นนะ ต้องมีร้านขนาดนี้นะ ต้องมีเงินทุนเริ่มต้น 3 ล้านนะ
ผมถามคำเดียว ตอนนี้เก็บได้กี่ล้านแล้ว
เงียบกริบทั้งซอยครับ
คือ ทำงานประจำน่ะ มันแทบจะเดือนชนเดือนกันทุกคนครับ จริงมั้ย
ได้มาก็ใช้ เหลือก็เก็บ ไม่เหลือก็อดๆเอาหน่อย เดี๋ยวก็สิ้นเดือนละ
อ้าว เดี๋ยวรถเสีย เดี๋ยวแอร์พัง เดี๋ยวเสื้อผ้าขาด ต้องซื้อใหม่ โทรศัพท์ก็เริ่มเก่าละ รุ่นนั้นออกมาพอดี ซื้อเลยละกัน
คนทำงานประจำ ใช้เงินง่ายครับ ไม่นานเดี๋ยวก็มีให้ต้องจ่ายอีกแล้ว
กลับมาเรื่องธุรกิจ
ผ้าม่าน ศรีราชา
ผมเลยบอกรุ่นน้องผมไปว่า
เอางี้ หาคำตอบให้เจอ ว่าชอบอะไร แล้วหาทางสร้างรายได้จากมันให้ได้ก่อน
แล้วถ้ามันได้รายได้มากขึ้นแล้ว เก็บซะ เก็บให้ได้ ถ้ามันมากขึ้น แต่ไม่เท่ากับที่ต้องการ ก็วางแผน ปรับแนวทางใหม่ แต่ยังไม่ต้องคิดถึงตอนนั้นหรอก
มันจะทำแล้วได้มากขึ้นเดือนละ 3000 5000 หรือหมื่นนึง ก็ทำไปก่อน
ถ้ามันไม่ work ก็กลับมาตั้งหลักใหม่ ยังไงก็ได้เงินเพิ่มขึ้น
แต่ถ้ามัน work ก็วางแผนต่อไปว่า จะทำจนได้เงินมากกว่าเงินเดือนประจำเท่าไหร่ดี ถึงจะออกจากงานประจำได้
รุ่นน้องที่ทำงานผมคนนึง ตอนแรก เป็นคนที่บ้าทำโอทีมากครับ เดือนๆนึงทำโอฯไม่ต่ำกว่า 80 ชม.
แต่พอมีช่องทาง เขาก็ลองเอารถกระบะที่มี ไปวิ่งส่งไก่ตอน จากออเดอร์เล็กๆ ก็เริ่มขยาย ต่อมาก็ได้ลูกค้าใหม่เป็น 7-11 ที่มีออเดอร์จาก cp จำนวนมาก
พอรับงานได้สักพัก ทางนั้นเขาก็ถามว่า มีรถอีกมั้ย รุ่นน้องผมก็เลยไปกู้ซื้อรถใหม่อีกคันนึงเลย แล้วหาคนมาขับ เป็นคุณพ่อที่ว่างงานอยู่นั่นเอง
ตอนนี้ ทำมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว รถ 6 ล้อที่ซื้อมาคันแรก ก็ปิดได้หมดแล้ว
ซื้อคันที่ 2 มาสดๆร้อนๆ รวมๆรายได้จากการขนไก่ หักต้นทุนทั้งหมดแล้ว ตกเดือนละ 3 หมื่นกว่าๆ
ยิ่งคันแรกหมด ก็ยิ่งสบายไปใหญ่ ได้เดือนละ 5-6 หมื่น จากงานนี้ทุกเดือน
ซึ่งตอนนี้ รุ่นน้องคนนี้ ก็ยังทำงานประจำอยู่ แต่ทำแบบ ทำโอทีก็ได้ ไม่ทำก็ได้ จากเดือนๆทำโอไม่ต่ำกว่า 80 ชม. ตอนนี้เหลือเดือนละไม่ถึง 10 ชม.
ถามว่า "เขาจะออกเมื่อไหร่ เขารู้มั้ยครับ"
เขาไม่รู้หรอก เพราะอยากออกก็ออกเลย 5555 รอวันที่หัวหน้างี่เง่า เมื่อไหร่เมื่อนั้น ไม่ง้อ
แต่ออกแล้ว คงไม่หางานใหม่แล้วล่ะ คงทำของตัวเองไปเลย
อนาคต อาจเปิดบริษัทขนส่งเล็กๆ แล้วเพิ่มรถเพิ่มคนขับเข้าไป รับงานเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ก็ว่าไป
รุ่นน้องอีกคนนึง เคยขายประกันชีวิต
แต่เปลี่ยนมาขายประกันรถยนต์
เบี้ยต่ำกว่า แต่เหตุผลคือ ไม่ต้องไปตามง้อ หรือคอยอธิบายให้คนอื่นรู้ว่า ประกันชีวิตสำคัญยังไง เพราะคนมีรถ ส่วนมากก็ต้องทำประกัน จะชั้นไหนก็ควรทำทั้งนั้น
และเพราะมันต้องทำ การขายประกันรถยนต์มันเลยง่ายกว่าประกันชีวิต
มันบอกผมว่า เพื่อนที่ชวนมันมาขายประกันรถยนต์ ตอนนั้น ก่อนหน้านี้สัก 4 ปี เพื่อนมาชวนให้เริ่มลองทำด้วยกันแล้วพอรุ่นน้องผมไม่สนใจ ก็ไม่ตามต่อ และเริ่มขายประกันไปคนเดียว
แต่ตอนนี้ พอกลับไปคุยกันอีก (เพราะได้ทำงานร่วมกัน) ก็พบว่า ไอ้หมอนั่น เดือนๆนึงได้รายได้หลักแสนไปแล้วทุกเดือนจากค่าคอมฯ
รุ่นน้องผมบ่นกะผมว่า มันล่ะโคตรเซ็งเลย นี่ถ้ามันทำพร้อมๆกันตั้งแต่ตอนนั้นนะ ป่านนี้ได้เดือนนึงไม่ต่ำกว่า 2 แสนแล้ว
ผมบอกมันว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเซ็งไปหรอก 4 ปีก็ยังดีกว่า 8 ปี
ตอนนี้เอ็งหาคำตอบเจอแล้ว ว่าควรทำอะไร ดีซะอีก มีเพื่อนที่มีประสบการณ์มากกว่าเป็นต้นแบบ เจอปัญหาอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือแล้ว ไม่ต้องไปลำบากหาเอง
ขอแค่ทำต่อไป วางแผนไว้ว่า 4 ปีต้องได้เท่ามัน ที่เหลือ ก็อย่ายอมแพ้ เท่านั้นเอง
มันพยักหน้าเห็นด้วย
ผมกล้าฟันธงได้เลยว่า ไม่ต้องถึง 4 ปีหรอกครับ 2-3 ปี มันก็สามารถมีรายได้มากกว่าผมได้แบบไม่ยากเลย ถ้ามันยังทำต่อไปไม่เลิกนะ
เพราะฉะนั้น สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไร
บางที คำตอบตรงหน้า มันอาจเป็นเพราะว่า ตัวเราเองยังไม่เจอ "โอกาส" ให้เราคว้าไว้ได้ก็เท่านั้นเอง
แต่จะเจอโอกาสได้ ก็ต้องออกไปหาครับ
ไม่ใช่ทำแบบเดิม อยู่ที่เดิม
วิธีออกไปหา ออกไปเจอโลก จริงๆไม่ยากหรอกครับ
ถ้ามีเงินหน่อย ก็ไปสัมมนา ของดีราคาถูกยังมีอยู่จริงครับ บางคนบอกสัมมนาราคาแพง มันก็มีครับ แต่ก่อนจะไปเข้าร่วม ก็หาข้อมูลให้มากๆ ถ้าดูแล้วไม่คุ้ม หรือเรายังไม่พร้อม ก็เอาไว้ก่อน
เดี๋ยวนี้ จะทำอะไร เปิดกูเกิ้ล พิมพ์แปบเดียว บทความหรือแนวทางความสำเร็จก็มีมาให้เราอ่านไม่อั้นแล้วครับ เยอะแยะมากมาย
ผมเองยังเคยหลงทางเลย ก่อนหน้านี้สัก 5-6 ปี ผมนี้ ฟุ้งมากครับ รู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก ทำงานแป๊บเดียวก็ได้ขึ้นตำแหน่งพรวดๆๆ
แต่พอเครียด เจอปัญหา หัวหน้างี่เง่า ผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมและทำงานต่อไปแบบไม่รู้จะไปบ่นกับใคร
ผมอยากรู้ว่าโลกนี้จะมีงานอื่นอีกไหม ที่หาเงินได้ง่ายๆเงินดีๆ ก็ไปสมัครเรียนนั่นนี่เต็มไปหมด มีประโยชน์มากบ้างน้อยบ้าง คุ้มบ้างไม่คุ้มบ้าง
ยิ่งฟุ้งเข้าไปใหญ่ครับ
เรียนจบคอร์สนึง ก็มีเรื่องให้ทำอย่างนึง จบอีกคอร์ส ก็มีให้ทำอีกอย่างนึง
เรียน 10 คอร์ส ได้มา 10 อาชีพ 100 งาน
จะทำไงดีล่ะทีนี้
จนวันนึง ผมมานั่งดูตัวเอง บวกกับแฟนผมบอกผมด้วยว่า สิ่งที่ผมกำลังจะทำน่ะ มันเยอะไป
มันไม่รู้ว่า ทำแล้วอันไหนจะ work ทำไมไม่ลองทำดูทีละอย่างล่ะ
ถ้าอันไหนไม่เวิร์ค ก็ตัดออกไป
ผมเห็นว่า จริงด้วย ใช่เลย
ผมมีความรู้เยอะ แต่ไม่มีทักษะอะไรเลย เพราะไม่เคยลองทำมันจริงๆจังๆ หรือทำให้สุด
คนจะสำเร็จ ต้องล้มแล้วลุก ล้มอีก แล้วก็ลุกอีก
มันต้องพังกันบ้าง
แต่ผมพอเรียนรู้ไปได้สักพัก ไอ้นี่ยากจัง อันนั้นก็ไม่ง่าย ไปๆมาๆ ก็ย่ำอยู่กับที่ รอเงินเดือนออกเหมือนเดิม
สุดท้าย ผมใช้เวลาเกือบ 3 ปี เพื่อจะค้นหาตัวเองจนเจอว่า
ผมชอบอะไร
และมันจะสร้างรายได้ให้ผมได้อย่างไร
ตอนนี้ ผมต้องทำแค่ Focus เท่านั้น
การจะออกจากงานประจำมันไม่ได้ยากหรอกครับ
แค่เราหารายได้ให้มากกว่างานประจำ เราก็ออกได้แล้ว
แต่มันต้องมีความเสี่ยงน้อยพอที่เราจะไม่ต้องกังวล ก็เท่านั้น
ซึ่ง จะมากจะน้อย มันก็เสี่ยงกันทุกอย่างนั่นแหละ
เพราะงั้น อย่าไปกลัวครับ ลองทำดู ก่อนทำ วางแผน ดูความเสี่ยง ถ้ารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ หาอย่างอื่น
ต่อยอดความรู้ เก็บเงิน รู้จักคนให้มากขึ้น ออกไปเจอโลก เปิดกะลาตัวเอง ค่อยๆเก็บจิ๊กซอว์ความรู้ไปทีละนิดๆ วันละชิ้น เดือนละชิ้น วันนึง พอมันมากพอ เราจะเห็นภาพรวมเองครับ ว่าต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง
ตอนนี้ ผมเห็นแล้ว
ผมใช้เวลา 3 ปีเพื่อหาคำตอบว่าผมต้อง Focus
แต่ก่อนนั้น ผมใช้เวลาอีกเกือบ 5 ปี เรียนรู้สิ่งต่างๆทั้งเสียเงินและเสียเวลา เพื่อจะพบว่า ผมสามารถเรียนอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้พัฒนามันจนหาเงินให้ผมได้เลย
เพราะฉะนั้น เริ่มต้น เถิดครับ
ถ้าตอนนี้ไม่มีไอเดีย ไม่รู้ ก็อย่างที่บอก ออกไปหาซะ
เดี๋ยวก็เจอเองครับ
ร้านผ้าม่าน ศรีราชา
ช่วงนี้มีแต่คำถามแนวๆนี้
จริงๆมันก็ไม่ใช่แค่ช่วงนี้หรอกครับ
มันทุกช่วงนั่นแหละ คำถามเหล่านี้มักจะกระเด็นมาเข้าหูผม
ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สัก 3 ปี
ผมเองก็เป็นอีกคนนึงล่ะที่มีคำถามแบบนี้ติดอยู่ในหัวเหมือนกัน
ในโลกที่ปัจจุบันมีแต่เซเล็ปทางความคิด ตัวอย่างของความสำเร็จ และผู้นำทางทัศนคติ ลอยละล่องอยู่เกลื่อนเฟซบุคเต็มไปหมด
ร้านผ้าม่าน ศรีราชา
ถ้าใครไม่ได้เล่นเฟซฯ ก็คงไม่ได้พบเรื่องราวเหล่านี้มากมายนัก
แต่สำหรับคนที่เล่นเฟซฯ รับรองครับ ว่าวันๆนึงต้องเห็น Feed โฆษณาต่างๆที่เด้งเข้ามาในหน้า wall ของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ตลอดเวลา
"อยากเริ่มธุรกิจต้องทำยังไง?"
"สัมมนาเชิงวิชาการ"
"แนวคิดการสร้างธุรกิจชั้นยอด"
นี่ยังไม่รวมถึงพวก
"ขายครีมหน้าขาว"
"กระเป๋านำเข้า"
"เสื้อผ้าแฟชั่นอินเทรนด์"
ที่ปลิวกันว่อนเกลื่อนเฟซไปหมด
ร้านผ้าม่าน ชลบุรี
อีกทั้งรอบๆตัวเรา เราก็ยังมองเห็นเพื่อนสนิทไม่สนิทที่พากันตบเท้าเข้าสู่โลกของธุรกิจกันอย่างสม่ำเสมอ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ส่วนมากเราจะจำได้แต่พวกสำเร็จ
และพวกเขานั้นช่าง "น่าอิจฉา" เสียนี่กระไร
ล่าสุดมีเพื่อนร่วมงานคนนึงของผมเข้ามาพูดคุยด้วย
เขาเป็นล่าม ทำหน้าที่แปลเอกสารและตามคนญี่ปุ่นเข้าไปในไลน์เพื่อสื่อสารกับพนง.ในพื้นที่ทำงาน
เขาเล่าให้ฟังว่า
กำลังสนใจจะไปลองฟังธุรกิจขายตรงตัวหนึ่ง
ผมถามว่าทำไมถึงสนใจ
ผ้าม่าน ศรีราชา
เขาบอกว่า เพื่อนเก่าเขาคนนึงที่รู้จักกันมานาน
หมอนั่นก็ทำธุรกิจนี้มาหลายปี ก่อนหน้านี้สัก 4 ปีได้ เห็นว่ามีรายได้หลายแสนต่อเดือน
ถ้าตอนนี้ก็น่าจะมีเป็นล้านแล้ว ล่าสุดเพิ่งถอยเบนซ์ป้ายแดงมาคันนึง
ผมออกตัวก่อนนะครับ
ว่าผมเองไม่ได้ anti หรือต่อต้านธุรกิจขายตรงแต่อย่างใด
เพราะผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่โตมากับธุรกิจพวกนี้
ผมไม่ได้ทำเองครับ พ่อแม่ผมทำ
ท่านทั้งสองหาเลี้ยงผมกับน้องชายด้วยรายได้ที่ได้มาจากธุรกิจขายตรงตัวหนึ่ง
ซึ่งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราดีขึ้นเรื่อยๆ และถือเป็นชนชั้นกลางระดับดีครอบครัวนึงเลยทีเดียว
แม้จะไม่ได้มีอะไรร่ำรวยอู้ฟู่มาก แต่ก็ไม่ต้องกระเบียดกระเสียดกัดก้อนเกลือกิน
เพราะฉะนั้น สำหรับผม ธุรกิจขายตรงก็เป็น "งาน" งานหนึ่ง
ที่เหมือนกับงานอื่นๆทั่วไปที่ถ้าทำจน "สำเร็จ" มันก็สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ลงมือทำ
ผ้าม่าน ชลบุรี
ผมถามเพื่อนร่วมงานของผมไปว่า
แล้วคุณน่ะ เคยไปฟังสัมมนาหรือประชุมของธุรกิจพวกนี้หรือเปล่า
เขาก็เล่าให้ผมฟังแบบรัวๆเลยว่า เขานั้นค่อนข้างแตกฉานในเรื่องพวกนี้พอสมควร
ผมก็ถามเขาว่า อ้าว ถ้างั้นแล้วทำไมไม่ทำซะล่ะ ในเมื่อเข้าใจมันดีถึงขนาดนี้
เขาก็อ้ำๆอึ้งๆ
ผมเลยถามต่อไปว่า
คุณไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้าใช่มั้ย?
เขาพยักหน้าตอบว่าใช่
คุณไม่ชอบชวนใครซ้ำๆซากๆลากเขาไปประชุมตอนกลางคืนกลับบ้านดึกๆใช่มั้ย
คุณไม่ชอบสาธิตสินค้าให้คนไม่รู้จักฟังใช้มั้ย
คุณไม่ชอบเข้ากลุ่มสัมมนาเพิ่มความรู้ใช่มั้ย
คำตอบของทุกคำถามคือ "ใช่"
ร้านผ้าม่านศรีราชา
ก็นั่นไง
ปัญหาของคนหลายๆคนที่อยากจะ "สำเร็จ" คือ
เราพยายามจะเข้าใจธุรกิจที่เรายังไม่ได้ทำ จนพอถึงจุดหนึ่ง เราก็บอกตัวเองว่า "เราไม่ชอบ" ทั้งๆที่เรายังไม่ได้ลองทำ หรือเริ่มต้นอะไรทั้งสิ้น
ผมไม่ได้บอกเขาให้ไปทำธุรกิจขายตรงนั้นนะครับ
ผมบอกเขาว่า
ถามจริงๆ แล้วคุณชอบทำอะไร
เขาก็ตอบไม่ได้
ผมถามใหม่อีกว่า
แล้วคุณกะจะทำงานไปถึงเมื่อไหร่ หมายถึงเป็นลูกจ้างน่ะ จะทำไปอีกกี่ปี
เขาบอกว่าก็ทำไปเรื่อยๆได้
ผ้าม่าน ศรีราชา
ถึง 60 เลยมั้ย?
เขาตอบว่าไม่ล่ะ ไม่มีทาง
เห็นมั้ยครับ
ผมเชื่อเลยว่า ถ้าทุกคนไปถามคนที่นั่งทำงานประจำข้างๆ เขาจะตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยครับ
ว่า จะไม่มีทางทำงานไปจนเกษียณอายุแน่นอน
แต่.....
แล้วจะทำอะไรล่ะ ที่จะทำให้เราออกจากงานประจำได้น่ะ
ที่สำคัญ คือ "เมื่อไหร่" จะออกจากงานประจำได้
คนทุกคนที่ยังมีคำถามข้างต้น มักจะหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้
ร้านผ้าม่าน ศรีราชา
ผมได้รู้จักน้องๆที่ทำงานหลายคน ที่มีทั้งเริ่มธุรกิจไปแล้ว สำเร็จ ล้มเหลว ล้มเลิก กำลังจะเริ่มธุรกิจ มีแผน วางแผนไว้ มีไอเดียว ไปจนถึง ไม่มีความคิดอะไรเลย ปล่อยวันๆหมดไปเปล่าๆ
คนพวกนี้ ทุกคนเป็นคนเหมือนกันครับ ไม่ได้มีใครแตกต่างกันซักเท่าไหร่เลย
แต่พอผมสังเกตุดูดีๆ
ก็เห็นความแตกต่างครับ
คนทำงานประจำ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 99 บอกตัวเองว่า จะลาออกไปทำอะไรของตัวเองสักวันนึง
แต่พอผมถามว่า ไอ้ "สักวัน" ที่ว่าน่ะ "เมื่อไหร่?"
เขาก็ตอบกันไม่ได้
แต่ถ้าเอาคำถามนี้ไปถามคนที่ทำธุรกิจไปแล้ว และกำลังไปได้ด้วยดี
เขาจะมีคำตอบให้ หรือถ้าไม่มี เขาก็จะพยายามหาคำตอบมาให้จงได้
คนเหล่านี้ มีความคิดแตกต่างจากคนที่ไม่เริ่มธุรกิจอยู่พอสมควรครับ
พวกเขาที่ไปได้ไกลกว่านั้น มี "ทัศนคติ" เกี่ยวกับการมองเห็นชีวิตของตัวเองดีกว่าคนแบบที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ
ร้านผ้าม่านชลบุรี
ตอนนี้ โลกเราไปไกลมาก หมุนเร็วมาก
เราเห็นข่าวสารบ้านเมืองถึงอีกซีกโลกหนึ่ง มีคนแปลข่าวให้ โพสให้เราไปกดไลค์ที่ฟีดเขา จนเรื่องราวบทความต่างๆเด้งเข้ามาในเฟซเราไม่หยุด
จนวันนึง เราต้องมาถามตัวเองว่า "แล้วเราล่ะ เมื่อไหร่จะสำเร็จแบบเขาบ้าง?"
แต่รู้มั้ยครับ
คนส่วนใหญ่มักจะไม่หาคำตอบนั้น
ปล่อยให้คำถามนั้นวิ่งกระแทกยอดหน้าตัวเองอยู่ทุกวัน
สร้างแรงกดดันให้ตัวเองแบบฟุ่มเฟือยซ้ำไปซ้ำมา
ตื่นมาก็คิด จะทำอะไรดีว้า ออกไปทำงานประจำก็คิด จะทำอะไรดีน้อ กลับมาบ้านก็คิดอีก เอาไงดีว้า...
คิดเป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี ก็ไม่มีคำตอบ
ผมบอกรุ่นน้องคนนึงไปบริษัทไปเมื่อวานครับ ประมาณว่า
"พวกเราน่ะ ทำงานอยู่ในโรงงาน มองซ้ายมองขวาก็เห็นแต่คนทำงานโรงงาน พวกรุ่นพี่ที่ออกกันไป ส่วนใหญ่ก็ไปทำงานเกี่ยวกับโรงงาน ไปเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างมั่งล่ะ ไปเปิดบริษัทเป็นผู้รับเหมาทำงานในโรงงานมั่งล่ะ ไปเปิดบริษัทให้เช่ารถสิบล้อบ้างล่ะ พอเรามองไป ก็เห็นแต่คนทำธุรกิจแบบนั้น และพอมามองกลับดูตัวเอง ก็พบว่า ตัวเองไม่ได้มีความสามารถจะไปเริ่มต้นหรือทำอะไรแบบนั้นได้ เงินก็ไม่มี ทุนก็ไม่มี ความรู้ก็ไม่มี connection ก็ไม่มี ไม่มีอไรสักอย่าง เหมือนคนจะเดินทางไปเชียงใหม่ เห็นเขาขึ้นเครื่องกัน ตัวเองไม่มีเงิน ก็ไม่รู้จะเก็บจะออมยังไง ต่อให้มีเงิน ก็ไม่มีพาสปอร์ต จองตั๋วเครื่องบินเองก็ไม่เป็น ก็เลยไม่ได้เริ่มทำอะไรสักที
ทำไมไม่ลองตอบคำถามทีละข้อดูล่ะ
เริ่มจาก "เราชอบอะไร?"
ร้านผ้าม่านศรีราชา
แล้วลองค้นหาดูจริงๆจังๆ ว่าเราสามารถหารายได้จากสิ่งที่เราชอบได้อย่างไรบ้าง
ชอบรถ
ชอบแบบไหน ชอบล้างรถ ชอบดูแลรถ ชอบเห็นรถสวยๆ
หรือชอบซ่อมรถ
หรือชอบขายรถ
หรือชอบขับรถ
อะไรก็ได้
เริ่มค้นหาคำตอบพวกนี้ก่อน
เพราะปลายทางของสิ่งเหล่านี้ มันก็สร้าง "ธุรกิจ" ให้เราได้ทั้งนั้น
ถ้าตอนนี้เราไม่มีทุนจะเปิดร้าน
ก็หาให้เจอว่า จะเปิดร้าน ต้องมีทุนเท่าไหร่
หาทางลดต้นทุนมันลงมา
แล้วสร้างแนวทางที่จะมีเงินตรงนั้นมาลงทุนให้ได้ โดยป้องกันความเสี่ยงให้ดีที่สุด เผื่อเจ๊ง จะได้ไม่เจ็บตัวมากจนลุกขึ้นไม่ไหว"
ผ้าม่าน ศรีราชา
แฟนผมเริ่มธุรกิจผ้าม่าน ก็เริ่มจาก 0 ครับ
ศูนย์จริงๆ เพราะเธอไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผ้าม่านเลย
มีคนมาบอกว่า ทำร้านผ้าม่าน ทำแล้วดี กำไรงาม ไม่น่ายุ่งยากมาก
ก็แค่ลองทำ
ลองค้นหา ลองตรวจสอบ ลองคำนวณ ว่าเปิดร้าน ต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่บ้าง ต้องวางระบบยังไง ต้องคุยกะลูกค้ายังไง
ปรากฏว่า ไอ้ที่ว่ามันแพงน่ะ มันแพงแค่ค่า "ร้าน" ครับ
คือ ค่าเช่า กับ ค่าตกแต่งร้าน เท่านั้น
นอกนั้น คือเงินหมุนทั้งหมด พอปิดดีลได้ ก็ได้เงินคืนมา เอาทุนตัดออกไปหมุนต่อ เอากำไรมาแบ่งสันปันส่วน ให้เงินเดือนตัวเอง คืนเงินที่กู้ แล้วแบ่งไปปิดหนี้อื่นๆที่เคยมีมา
ไม่นาน ร้านก็คืนทุน และก็เริ่มมีเงินมากพอจะซื้ออะไรต่างๆเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงปลดหนี้สินที่เคยมีมาแต่เก่าก่อนได้จนหมด
ทั้งหมดนี้ ใช้เวลาไม่ถึง 1 ปีครับ
บางคน มองธุรกิจที่ตัวเองจะทำ เป็นระดับ Mass
คือ ต้องมียอดเท่านั้นนะ ต้องมีร้านขนาดนี้นะ ต้องมีเงินทุนเริ่มต้น 3 ล้านนะ
ผมถามคำเดียว ตอนนี้เก็บได้กี่ล้านแล้ว
เงียบกริบทั้งซอยครับ
คือ ทำงานประจำน่ะ มันแทบจะเดือนชนเดือนกันทุกคนครับ จริงมั้ย
ได้มาก็ใช้ เหลือก็เก็บ ไม่เหลือก็อดๆเอาหน่อย เดี๋ยวก็สิ้นเดือนละ
อ้าว เดี๋ยวรถเสีย เดี๋ยวแอร์พัง เดี๋ยวเสื้อผ้าขาด ต้องซื้อใหม่ โทรศัพท์ก็เริ่มเก่าละ รุ่นนั้นออกมาพอดี ซื้อเลยละกัน
คนทำงานประจำ ใช้เงินง่ายครับ ไม่นานเดี๋ยวก็มีให้ต้องจ่ายอีกแล้ว
กลับมาเรื่องธุรกิจ
ผ้าม่าน ศรีราชา
ผมเลยบอกรุ่นน้องผมไปว่า
เอางี้ หาคำตอบให้เจอ ว่าชอบอะไร แล้วหาทางสร้างรายได้จากมันให้ได้ก่อน
แล้วถ้ามันได้รายได้มากขึ้นแล้ว เก็บซะ เก็บให้ได้ ถ้ามันมากขึ้น แต่ไม่เท่ากับที่ต้องการ ก็วางแผน ปรับแนวทางใหม่ แต่ยังไม่ต้องคิดถึงตอนนั้นหรอก
มันจะทำแล้วได้มากขึ้นเดือนละ 3000 5000 หรือหมื่นนึง ก็ทำไปก่อน
ถ้ามันไม่ work ก็กลับมาตั้งหลักใหม่ ยังไงก็ได้เงินเพิ่มขึ้น
แต่ถ้ามัน work ก็วางแผนต่อไปว่า จะทำจนได้เงินมากกว่าเงินเดือนประจำเท่าไหร่ดี ถึงจะออกจากงานประจำได้
รุ่นน้องที่ทำงานผมคนนึง ตอนแรก เป็นคนที่บ้าทำโอทีมากครับ เดือนๆนึงทำโอฯไม่ต่ำกว่า 80 ชม.
แต่พอมีช่องทาง เขาก็ลองเอารถกระบะที่มี ไปวิ่งส่งไก่ตอน จากออเดอร์เล็กๆ ก็เริ่มขยาย ต่อมาก็ได้ลูกค้าใหม่เป็น 7-11 ที่มีออเดอร์จาก cp จำนวนมาก
พอรับงานได้สักพัก ทางนั้นเขาก็ถามว่า มีรถอีกมั้ย รุ่นน้องผมก็เลยไปกู้ซื้อรถใหม่อีกคันนึงเลย แล้วหาคนมาขับ เป็นคุณพ่อที่ว่างงานอยู่นั่นเอง
ตอนนี้ ทำมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว รถ 6 ล้อที่ซื้อมาคันแรก ก็ปิดได้หมดแล้ว
ซื้อคันที่ 2 มาสดๆร้อนๆ รวมๆรายได้จากการขนไก่ หักต้นทุนทั้งหมดแล้ว ตกเดือนละ 3 หมื่นกว่าๆ
ยิ่งคันแรกหมด ก็ยิ่งสบายไปใหญ่ ได้เดือนละ 5-6 หมื่น จากงานนี้ทุกเดือน
ซึ่งตอนนี้ รุ่นน้องคนนี้ ก็ยังทำงานประจำอยู่ แต่ทำแบบ ทำโอทีก็ได้ ไม่ทำก็ได้ จากเดือนๆทำโอไม่ต่ำกว่า 80 ชม. ตอนนี้เหลือเดือนละไม่ถึง 10 ชม.
ถามว่า "เขาจะออกเมื่อไหร่ เขารู้มั้ยครับ"
เขาไม่รู้หรอก เพราะอยากออกก็ออกเลย 5555 รอวันที่หัวหน้างี่เง่า เมื่อไหร่เมื่อนั้น ไม่ง้อ
แต่ออกแล้ว คงไม่หางานใหม่แล้วล่ะ คงทำของตัวเองไปเลย
อนาคต อาจเปิดบริษัทขนส่งเล็กๆ แล้วเพิ่มรถเพิ่มคนขับเข้าไป รับงานเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ก็ว่าไป
รุ่นน้องอีกคนนึง เคยขายประกันชีวิต
แต่เปลี่ยนมาขายประกันรถยนต์
เบี้ยต่ำกว่า แต่เหตุผลคือ ไม่ต้องไปตามง้อ หรือคอยอธิบายให้คนอื่นรู้ว่า ประกันชีวิตสำคัญยังไง เพราะคนมีรถ ส่วนมากก็ต้องทำประกัน จะชั้นไหนก็ควรทำทั้งนั้น
และเพราะมันต้องทำ การขายประกันรถยนต์มันเลยง่ายกว่าประกันชีวิต
มันบอกผมว่า เพื่อนที่ชวนมันมาขายประกันรถยนต์ ตอนนั้น ก่อนหน้านี้สัก 4 ปี เพื่อนมาชวนให้เริ่มลองทำด้วยกันแล้วพอรุ่นน้องผมไม่สนใจ ก็ไม่ตามต่อ และเริ่มขายประกันไปคนเดียว
แต่ตอนนี้ พอกลับไปคุยกันอีก (เพราะได้ทำงานร่วมกัน) ก็พบว่า ไอ้หมอนั่น เดือนๆนึงได้รายได้หลักแสนไปแล้วทุกเดือนจากค่าคอมฯ
รุ่นน้องผมบ่นกะผมว่า มันล่ะโคตรเซ็งเลย นี่ถ้ามันทำพร้อมๆกันตั้งแต่ตอนนั้นนะ ป่านนี้ได้เดือนนึงไม่ต่ำกว่า 2 แสนแล้ว
ผมบอกมันว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเซ็งไปหรอก 4 ปีก็ยังดีกว่า 8 ปี
ตอนนี้เอ็งหาคำตอบเจอแล้ว ว่าควรทำอะไร ดีซะอีก มีเพื่อนที่มีประสบการณ์มากกว่าเป็นต้นแบบ เจอปัญหาอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือแล้ว ไม่ต้องไปลำบากหาเอง
ขอแค่ทำต่อไป วางแผนไว้ว่า 4 ปีต้องได้เท่ามัน ที่เหลือ ก็อย่ายอมแพ้ เท่านั้นเอง
มันพยักหน้าเห็นด้วย
ผมกล้าฟันธงได้เลยว่า ไม่ต้องถึง 4 ปีหรอกครับ 2-3 ปี มันก็สามารถมีรายได้มากกว่าผมได้แบบไม่ยากเลย ถ้ามันยังทำต่อไปไม่เลิกนะ
เพราะฉะนั้น สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไร
บางที คำตอบตรงหน้า มันอาจเป็นเพราะว่า ตัวเราเองยังไม่เจอ "โอกาส" ให้เราคว้าไว้ได้ก็เท่านั้นเอง
แต่จะเจอโอกาสได้ ก็ต้องออกไปหาครับ
ไม่ใช่ทำแบบเดิม อยู่ที่เดิม
วิธีออกไปหา ออกไปเจอโลก จริงๆไม่ยากหรอกครับ
ถ้ามีเงินหน่อย ก็ไปสัมมนา ของดีราคาถูกยังมีอยู่จริงครับ บางคนบอกสัมมนาราคาแพง มันก็มีครับ แต่ก่อนจะไปเข้าร่วม ก็หาข้อมูลให้มากๆ ถ้าดูแล้วไม่คุ้ม หรือเรายังไม่พร้อม ก็เอาไว้ก่อน
เดี๋ยวนี้ จะทำอะไร เปิดกูเกิ้ล พิมพ์แปบเดียว บทความหรือแนวทางความสำเร็จก็มีมาให้เราอ่านไม่อั้นแล้วครับ เยอะแยะมากมาย
ผมเองยังเคยหลงทางเลย ก่อนหน้านี้สัก 5-6 ปี ผมนี้ ฟุ้งมากครับ รู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก ทำงานแป๊บเดียวก็ได้ขึ้นตำแหน่งพรวดๆๆ
แต่พอเครียด เจอปัญหา หัวหน้างี่เง่า ผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมและทำงานต่อไปแบบไม่รู้จะไปบ่นกับใคร
ผมอยากรู้ว่าโลกนี้จะมีงานอื่นอีกไหม ที่หาเงินได้ง่ายๆเงินดีๆ ก็ไปสมัครเรียนนั่นนี่เต็มไปหมด มีประโยชน์มากบ้างน้อยบ้าง คุ้มบ้างไม่คุ้มบ้าง
ยิ่งฟุ้งเข้าไปใหญ่ครับ
เรียนจบคอร์สนึง ก็มีเรื่องให้ทำอย่างนึง จบอีกคอร์ส ก็มีให้ทำอีกอย่างนึง
เรียน 10 คอร์ส ได้มา 10 อาชีพ 100 งาน
จะทำไงดีล่ะทีนี้
จนวันนึง ผมมานั่งดูตัวเอง บวกกับแฟนผมบอกผมด้วยว่า สิ่งที่ผมกำลังจะทำน่ะ มันเยอะไป
มันไม่รู้ว่า ทำแล้วอันไหนจะ work ทำไมไม่ลองทำดูทีละอย่างล่ะ
ถ้าอันไหนไม่เวิร์ค ก็ตัดออกไป
ผมเห็นว่า จริงด้วย ใช่เลย
ผมมีความรู้เยอะ แต่ไม่มีทักษะอะไรเลย เพราะไม่เคยลองทำมันจริงๆจังๆ หรือทำให้สุด
คนจะสำเร็จ ต้องล้มแล้วลุก ล้มอีก แล้วก็ลุกอีก
มันต้องพังกันบ้าง
แต่ผมพอเรียนรู้ไปได้สักพัก ไอ้นี่ยากจัง อันนั้นก็ไม่ง่าย ไปๆมาๆ ก็ย่ำอยู่กับที่ รอเงินเดือนออกเหมือนเดิม
สุดท้าย ผมใช้เวลาเกือบ 3 ปี เพื่อจะค้นหาตัวเองจนเจอว่า
ผมชอบอะไร
และมันจะสร้างรายได้ให้ผมได้อย่างไร
ตอนนี้ ผมต้องทำแค่ Focus เท่านั้น
การจะออกจากงานประจำมันไม่ได้ยากหรอกครับ
แค่เราหารายได้ให้มากกว่างานประจำ เราก็ออกได้แล้ว
แต่มันต้องมีความเสี่ยงน้อยพอที่เราจะไม่ต้องกังวล ก็เท่านั้น
ซึ่ง จะมากจะน้อย มันก็เสี่ยงกันทุกอย่างนั่นแหละ
เพราะงั้น อย่าไปกลัวครับ ลองทำดู ก่อนทำ วางแผน ดูความเสี่ยง ถ้ารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ หาอย่างอื่น
ต่อยอดความรู้ เก็บเงิน รู้จักคนให้มากขึ้น ออกไปเจอโลก เปิดกะลาตัวเอง ค่อยๆเก็บจิ๊กซอว์ความรู้ไปทีละนิดๆ วันละชิ้น เดือนละชิ้น วันนึง พอมันมากพอ เราจะเห็นภาพรวมเองครับ ว่าต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง
ตอนนี้ ผมเห็นแล้ว
ผมใช้เวลา 3 ปีเพื่อหาคำตอบว่าผมต้อง Focus
แต่ก่อนนั้น ผมใช้เวลาอีกเกือบ 5 ปี เรียนรู้สิ่งต่างๆทั้งเสียเงินและเสียเวลา เพื่อจะพบว่า ผมสามารถเรียนอะไรได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้พัฒนามันจนหาเงินให้ผมได้เลย
เพราะฉะนั้น เริ่มต้น เถิดครับ
ถ้าตอนนี้ไม่มีไอเดีย ไม่รู้ ก็อย่างที่บอก ออกไปหาซะ
เดี๋ยวก็เจอเองครับ
ร้านผ้าม่าน ศรีราชา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น