สิ่งที่เพื่อนผมโทรมาปรึกษา - ความกลัว/ความทุกข์ในที่ทำงาน/การได้งานใหม่/ความคิดป่วยๆ/ตรรกะป่วยยิ่งกว่า
เมื่อวานมีเพื่อนผมคนนึงโทรมาปรึกษาครับ
เรื่องเกี่ยวกับการลาออกจากงานที่หนึ่ง ไปทำอีกที่หนึ่ง
ก่อนอื่นผมต้องเกริ่นก่อนนะครับ
ว่าเพื่อนผมคนนี้เค้ามีความไม่ปกติบางอย่างเกี่ยวกับร่างกาย
คือมีอาการมือสั่นเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากมายต่อชีวิต
เขายังดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ
พูดคุยรู้เรื่องและมีสติพร้อมสมบูรณ์
แต่
เมื่อกาลเวลาผ่านไป หลังจากเราเรียนจบมัธยมกันมา (เพื่อนผมคนนี้เป็นเพื่อนสมัยมัธยมครับ)
หลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ก็สร้างเสริมประสบการณ์ของเด็กแต่ละคน กลายเป็นผู้ใหญ่ มีภาระ มีวุฒิภาวะ มีวัยวุฒิและคุณวุฒิ ตามครรลองสภาพของชีวิต
สำหรับผมเอง ผมมีความสุขดีครับ หลายๆปัญหาก็แก้ไขได้ตามสภาพปกติ
แต่ลองมาฟังเรื่องของเพื่อนผมคนนี้กันดูครับ
เพื่อนผมสมมติให้ชื่อ ม. ละกันนะครับ
ม.นั้นทำงานเกี่ยวกับ Programmer มีหน้าที่ดูแลระบบของบริษัท
ตั้งแต่เรียนจบมา เขาก็เข้าไปทำงานที่บริษัท (สมมติให้ชื่อ) A
เขาทำงานได้สักพัก ทุกอย่างก็ดูปกติเรียบร้อยดี
แต่ไม่นาน เขาก็อยากได้ความก้าวหน้าของอาชีพการงานมากขึ้น
เขาจึงไปสมัครงาน และได้ตำแหน่งงานที่บริษัท B
ซึ่งทางบริษัท A ก็ไม่อยากให้ ม. ลาออก
เลยเสนอเงื่อนไขบางข้อให้เขาอยู่ทำงานต่อ ซึ่งแน่นอนว่า ดีกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่
แต่ ม. ก็เลือกจะลาออกครับ แล้วก็เข้าทำงานกับบริษัท B
ทีนี้ ทำไปสักพัก เขารู้สึกว่า สำหรับตัวเขาเองแล้ว ที่ B นี้ มันไม่ใช่ที่ของเขา
ม. ทำงานทุกวันด้วยความทุกข์ และไม่อยากตื่นมาทำงานเลยสักวัน
ได้แต่หายใจทิ้งไปวันๆด้วยความหวังที่ว่า สักวันหนึ่งจะได้หางานที่ใหม่และได้ทำงานกับบริษัทอื่น
ม. เคยได้ลองกลับไปสมัครงานที่บริษัท A ใหม่อีกครัั้ง
แต่ HR ที่นั่นก็ไม่รับ ม. กลับ โดยให้เหตุผลว่า เราพิจารณาเสนอเงื่อนไขให้คุณไปแล้วในวันนั้น แต่วันนี้ เราไม่ต้องการคุณอีก
แน่นอนครับ สำหรับ ม. เองก็คงรู้สึก Fail กับการตอบรับที่เกิดขึ้น
ซึ่งนั่นก็ช่วยไม่ได้ เพราะถ้าผมเป็น HR ของบริษัท A ผมก็คงไม่รับ ม. กลับเข้าทำงานเหมือนเดิมนั่นแหละ อาจจะหมั่นไส้เพราะดันเล่นตัวดีนัก เลยหักหน้าไม่รับกลับซะเลย
นี่ยังไม่รวมเรื่องบุคลิกของ ม. ที่สู้คนปกติหน้าตาหล่อสวยทั่วไปไม่ได้อีกตะหาก
ม.นั้นไม่มีบุคลิกภาพที่ดีของการเป็นพนักงานที่น่าจ้างงานเลยแม้แต่น้อย (เชื่อผมเหอะ ผมเรียนกะมันมาหลายปี)
จนถึงวันนึงก่อนหน้านี้
ม. ได้มาปรึกษาผมว่าชีวิตเขาทุกข์ยังไง
ถึงขนาด อยากหายไปจากโลกนี้เลยทีเดียว
ผมว่า มันคงไม่ถึงขนาดฆ่าตัวตายหรอก
แต่ก็หนักอยู่
ผมแนะนำให้มันลองไปหา "สังคมใหม่ๆ" ลองเข้าดูบ้าง จะได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นโลก เห็นคนที่เขาอยู่ในภพภูมิอื่นๆนอกจากโลกใบที่มีแต่ความทุกข์ของมันบ้าง
มันตอบผมว่า "จะให้กูไปหายังไง เช้าตื่นมาทำงาน เย็นกลับห้องนอน วันๆไม่มีเวลาทำอะไรสักอย่าง"
ผมก็ถามกลับว่า "แล้ววันเสาร์อาทิตย์ล่ะ ไม่ว่างเลยเหรอ? ทำไมไม่หาพวกคอร์สเรียนรู้อบรมสัมมนาอะไรสักอย่างแล้วลองเลือกคอร์สที่เขาเปิดช่วงวันเสาร์อาทิตย์แล้วเข้าร่วมดูล่ะ อย่างน้อยก็น่าจะได้เพื่อนใหม่ๆสังคมใหม่ๆดูบ้าง ถ้าไม่มีตังค์ ก็เลือกพวกคอร์สที่เปิดสอนฟรีของภาครัฐ อย่าง ตลท. (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) หรือพวกอบรมนำเข้าส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ หรือสัมมนาฟรีของธนาคารต่างๆที่มีประกาศทั่วไปในเน็ตดูก็ได้"
มันก็อ้ำๆอึ้งๆ แล้วก็ให้คำตอบในเชิงปฏิเสธ
ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่า เหตุผลของมันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะยังไงซะ ผมก็คงไปช่วยฉุดกระชากลากถูมันเหมือนตอนติวข้อสอบไม่ได้
ผ่านจากตอนนั้นมาหลายเดือน
ม. ก็โทรมาปรึกษาผมอีกครั้งเมื่อคืนนี้
ม. ได้งานใหม่ครับ (สมมติชื่อ) บริษัท C ต้องการ ม. ไปทำงานด้วย
ผมได้ยินแล้วก็แสดงความยินดีกับ ม. ด้วย
แต่ ม. บอกว่า เครียดมาก
ผมก็ถามว่า เครียดอะไร
ม. บอกว่า กลัวว่า ไปที่ใหม่ (C) แล้ว กลัวจะเหมือน B คือ ทำงานด้วยความทุกข์ทนทุกวัน
ผมก็ตอบไปว่า "มึงจะบ้าเหรอ ไปกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดเนี่ยนะ ทำไมไม่ลองไปดูก่อน ถ้ามันเลวร้าย ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะอย่างน้อยก็ได้ลองดูแล้ว ดีกว่าอยู่ที่ B แล้วหายใจทิ้งไปวันๆรึเปล่าวะ?"
มันก็ตอบผมว่า มันกลัวนั่นกลัวนี่ ที่ใหม่อยากให้เริ่มงานต้นเดือน กย. ที่ B ก็มีระเบียบให้ลาออกต้องบอกล่วงหน้า 30 วัน และ บลาๆๆ
ผมก็บอกมันว่า "เอางี้ ไปคิดมา ว่าสิ่งที่ควรทำมันคืออะไร แล้วเขียนลงไปในกระดาษ ข้อ 1 2 3 แล้วพรุ่งนี้ไปทำตามนั้นซะ"
ม. ตอบผมว่า "กูไม่รู้ว่ากูควรทำอะไร กูถึงโทรหามึงนี่ไง"
ผมนี่แทบจะเอาทีนก่ายหน้าผาก
ตอบมันไปว่า "กูไม่สามารถบอกได้หรอกนะ ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับมึง มึงต้องตัดสินใจเอง แต่ถ้ามึงไม่สามารถตัดสินใจได้ แล้วต้องการให้กูช่วยคิดหรือแนะนำ กูก็จะบอกว่า ก็ไปทำงานกับบริษัท C ซะ โดยไปตกลงเรื่องสัญญาจ้างงานกับ C ซะให้เรียบร้อย แล้วก็มาลาออกกับ B ให้เป็นกิจลักษณะไป
ส่วนเรื่องที่เขาต้องให้บอกล่วงหน้า 30 วันนั้น ก็ให้คุยกับหัวหน้างานที่ B ไปตรงๆ ว่ามึงรู้สึกแย่หรือเป็นทุกข์ยังไง ขอให้ช่วยเข้าใจ และอนุมัติให้ผมลาออกเถิดครับหัวหน้า ซึ่งถ้าเขายอม ก็จบ โอเคไป แต่ถ้าเขาไม่ยอม ก็ขอร้องต่อไปและยืนกรานว่า ยังไงผมก็ต้องขอไปทำกับที่อื่นอยู่ดี
โอกาสที่บริษัท B จะฟ้องลูกจ้างอย่าง ม. ก็มี แต่มันก็ไม่เยอะ เพราะการรับคนใหม่เข้ามาทำงาน มันก็เสียเวลาและเงินทุนอยู่แล้ว จะให้ไปขึ้นโรงขึ้นศาลอีกก็ยิ่งไม่ใช่เรื่อง และกฏหมายแรงงานนั้นก็ค่อนข้างให้ประโยชน์กับลูกจ้างมากกว่านายจ้าง โอกาสที่แพ้คดีนั้นค่อนข้างมีน้อยมากๆ ยิ่งถ้า ม. เป็นแค่ไก่กาในบริษัท B ไม่ได้มีความสำคัญอะไรยังไงต่อบริษัทเท่าไหร่ ก็ไม่น่าจะมีใครมาฟ้องร้องกันหรอก"
ม. ถามผมมาอีกว่า "แล้วถ้าออกจาก B แล้ว C เขาไม่รับกูทำงานล่ะ จะทำไง"
"ก็กูถึงให้มึงไปเซ็นสัญญากับเขาให้เรียบร้อยก่อนไง"
"แล้วถ้าเขาไม่ให้กูผ่าน Pro ล่ะ จะทำไง"
(มันก็เรื่องของมึงสิครับ ก็มึงทำงานห่วยเอง จะให้กูทำไงอ่ะ) "มึงก็ตั้งใจทำงานสิวะครับ และก็ไม่ต้องไปกังวลมาก เรื่องกลัวไม่ผ่านโปร ที่ไหนเขาก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ พูดง่ายๆ ถ้ามึงได้งานใหม่ มึงก็ต้องทดลองงาน แล้วให้เขาประเมินให้ว่าผ่านหรือไม่ผ่านโปรฯอยู่ดีนั่นแหละ
อย่าไปคิดมากเลย เรื่องแค่นี้ ยังไงทุกคนก็ต้องเจอ ถ้ากลัวตกงาน ก็พยายามทำงานช่วงทดลองงานให้เต็มที่ ถ้าเขาไม่ให้ผ่านจริงๆ อันนี้ก็สุดวิสัย ถ้ากลัวไม่มีงานทำ ก็ลองหางานพวก Part time ทำเอาไปก่อนพลางๆก็ได้นี่ จะได้มีเงินกินเงินใช้ จ่ายค่าหอค่าที่พักค่าเดินทางไปพลางๆ
แต่อย่าไปกลัวสิ่งที่มันยังไม่เกิด
กลัวสิ่งที่มันเกิดแล้ว มึงไม่สามารถแก้ไขมันได้ดีกว่า
เช่น ความทุกข์ที่มึงต้องทำงานที่ B นี้ ถ้ามึงสรุปแล้วว่า เป็นเพราะ องค์กร หรือ หัวหน้า ที่มึงไม่สามารถปรับตัวได้ และยังไงๆก็ต้องออก ก็นี่ไง วันนั้นมาถึงแล้ว วันนี้ ที่ C เขาสนใจมึง รับมึงเข้าทำงาน มึงก็ควรทำสิ่งที่ควรทำ คือไปทำที่ C ซะ แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก มองแต่ข้างหน้าก็พอ"
พูดตรงๆว่าผมด่ามันไปอีกหลายชุดใหญ่ๆ เกือบๆจะอารมณ์ขึ้นนิดๆ เพราะตรรกะและการใช้เหตุผลของมันนั้นไม่ไหวจริงๆ ถึงขั้นป่วยเลยก็ว่าได้
ก่อนจะวางสาย มันยังอุตส่าห์บอกความกังวลของมันให้ผมอีกข้อคือ
"ถ้ากูไปแล้ว มันไม่ดี เกิดกูอยากกลับมาที่ B กลัวเขาจะไม่รับกลับ..."
คงรู้นะ ว่าผมจะด่ามันว่ายังไง...?
เรื่องเกี่ยวกับการลาออกจากงานที่หนึ่ง ไปทำอีกที่หนึ่ง
ก่อนอื่นผมต้องเกริ่นก่อนนะครับ
ว่าเพื่อนผมคนนี้เค้ามีความไม่ปกติบางอย่างเกี่ยวกับร่างกาย
คือมีอาการมือสั่นเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากมายต่อชีวิต
เขายังดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติ
พูดคุยรู้เรื่องและมีสติพร้อมสมบูรณ์
แต่
เมื่อกาลเวลาผ่านไป หลังจากเราเรียนจบมัธยมกันมา (เพื่อนผมคนนี้เป็นเพื่อนสมัยมัธยมครับ)
หลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ก็สร้างเสริมประสบการณ์ของเด็กแต่ละคน กลายเป็นผู้ใหญ่ มีภาระ มีวุฒิภาวะ มีวัยวุฒิและคุณวุฒิ ตามครรลองสภาพของชีวิต
สำหรับผมเอง ผมมีความสุขดีครับ หลายๆปัญหาก็แก้ไขได้ตามสภาพปกติ
แต่ลองมาฟังเรื่องของเพื่อนผมคนนี้กันดูครับ
เพื่อนผมสมมติให้ชื่อ ม. ละกันนะครับ
ม.นั้นทำงานเกี่ยวกับ Programmer มีหน้าที่ดูแลระบบของบริษัท
ตั้งแต่เรียนจบมา เขาก็เข้าไปทำงานที่บริษัท (สมมติให้ชื่อ) A
เขาทำงานได้สักพัก ทุกอย่างก็ดูปกติเรียบร้อยดี
แต่ไม่นาน เขาก็อยากได้ความก้าวหน้าของอาชีพการงานมากขึ้น
เขาจึงไปสมัครงาน และได้ตำแหน่งงานที่บริษัท B
ซึ่งทางบริษัท A ก็ไม่อยากให้ ม. ลาออก
เลยเสนอเงื่อนไขบางข้อให้เขาอยู่ทำงานต่อ ซึ่งแน่นอนว่า ดีกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่
แต่ ม. ก็เลือกจะลาออกครับ แล้วก็เข้าทำงานกับบริษัท B
ทีนี้ ทำไปสักพัก เขารู้สึกว่า สำหรับตัวเขาเองแล้ว ที่ B นี้ มันไม่ใช่ที่ของเขา
ม. ทำงานทุกวันด้วยความทุกข์ และไม่อยากตื่นมาทำงานเลยสักวัน
ได้แต่หายใจทิ้งไปวันๆด้วยความหวังที่ว่า สักวันหนึ่งจะได้หางานที่ใหม่และได้ทำงานกับบริษัทอื่น
ม. เคยได้ลองกลับไปสมัครงานที่บริษัท A ใหม่อีกครัั้ง
แต่ HR ที่นั่นก็ไม่รับ ม. กลับ โดยให้เหตุผลว่า เราพิจารณาเสนอเงื่อนไขให้คุณไปแล้วในวันนั้น แต่วันนี้ เราไม่ต้องการคุณอีก
แน่นอนครับ สำหรับ ม. เองก็คงรู้สึก Fail กับการตอบรับที่เกิดขึ้น
ซึ่งนั่นก็ช่วยไม่ได้ เพราะถ้าผมเป็น HR ของบริษัท A ผมก็คงไม่รับ ม. กลับเข้าทำงานเหมือนเดิมนั่นแหละ อาจจะหมั่นไส้เพราะดันเล่นตัวดีนัก เลยหักหน้าไม่รับกลับซะเลย
นี่ยังไม่รวมเรื่องบุคลิกของ ม. ที่สู้คนปกติหน้าตาหล่อสวยทั่วไปไม่ได้อีกตะหาก
ม.นั้นไม่มีบุคลิกภาพที่ดีของการเป็นพนักงานที่น่าจ้างงานเลยแม้แต่น้อย (เชื่อผมเหอะ ผมเรียนกะมันมาหลายปี)
จนถึงวันนึงก่อนหน้านี้
ม. ได้มาปรึกษาผมว่าชีวิตเขาทุกข์ยังไง
ถึงขนาด อยากหายไปจากโลกนี้เลยทีเดียว
ผมว่า มันคงไม่ถึงขนาดฆ่าตัวตายหรอก
แต่ก็หนักอยู่
ผมแนะนำให้มันลองไปหา "สังคมใหม่ๆ" ลองเข้าดูบ้าง จะได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นโลก เห็นคนที่เขาอยู่ในภพภูมิอื่นๆนอกจากโลกใบที่มีแต่ความทุกข์ของมันบ้าง
มันตอบผมว่า "จะให้กูไปหายังไง เช้าตื่นมาทำงาน เย็นกลับห้องนอน วันๆไม่มีเวลาทำอะไรสักอย่าง"
ผมก็ถามกลับว่า "แล้ววันเสาร์อาทิตย์ล่ะ ไม่ว่างเลยเหรอ? ทำไมไม่หาพวกคอร์สเรียนรู้อบรมสัมมนาอะไรสักอย่างแล้วลองเลือกคอร์สที่เขาเปิดช่วงวันเสาร์อาทิตย์แล้วเข้าร่วมดูล่ะ อย่างน้อยก็น่าจะได้เพื่อนใหม่ๆสังคมใหม่ๆดูบ้าง ถ้าไม่มีตังค์ ก็เลือกพวกคอร์สที่เปิดสอนฟรีของภาครัฐ อย่าง ตลท. (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) หรือพวกอบรมนำเข้าส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ หรือสัมมนาฟรีของธนาคารต่างๆที่มีประกาศทั่วไปในเน็ตดูก็ได้"
มันก็อ้ำๆอึ้งๆ แล้วก็ให้คำตอบในเชิงปฏิเสธ
ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่า เหตุผลของมันคืออะไร แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะยังไงซะ ผมก็คงไปช่วยฉุดกระชากลากถูมันเหมือนตอนติวข้อสอบไม่ได้
ผ่านจากตอนนั้นมาหลายเดือน
ม. ก็โทรมาปรึกษาผมอีกครั้งเมื่อคืนนี้
ม. ได้งานใหม่ครับ (สมมติชื่อ) บริษัท C ต้องการ ม. ไปทำงานด้วย
ผมได้ยินแล้วก็แสดงความยินดีกับ ม. ด้วย
แต่ ม. บอกว่า เครียดมาก
ผมก็ถามว่า เครียดอะไร
ม. บอกว่า กลัวว่า ไปที่ใหม่ (C) แล้ว กลัวจะเหมือน B คือ ทำงานด้วยความทุกข์ทนทุกวัน
ผมก็ตอบไปว่า "มึงจะบ้าเหรอ ไปกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดเนี่ยนะ ทำไมไม่ลองไปดูก่อน ถ้ามันเลวร้าย ก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะอย่างน้อยก็ได้ลองดูแล้ว ดีกว่าอยู่ที่ B แล้วหายใจทิ้งไปวันๆรึเปล่าวะ?"
มันก็ตอบผมว่า มันกลัวนั่นกลัวนี่ ที่ใหม่อยากให้เริ่มงานต้นเดือน กย. ที่ B ก็มีระเบียบให้ลาออกต้องบอกล่วงหน้า 30 วัน และ บลาๆๆ
ผมก็บอกมันว่า "เอางี้ ไปคิดมา ว่าสิ่งที่ควรทำมันคืออะไร แล้วเขียนลงไปในกระดาษ ข้อ 1 2 3 แล้วพรุ่งนี้ไปทำตามนั้นซะ"
ม. ตอบผมว่า "กูไม่รู้ว่ากูควรทำอะไร กูถึงโทรหามึงนี่ไง"
ผมนี่แทบจะเอาทีนก่ายหน้าผาก
ตอบมันไปว่า "กูไม่สามารถบอกได้หรอกนะ ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับมึง มึงต้องตัดสินใจเอง แต่ถ้ามึงไม่สามารถตัดสินใจได้ แล้วต้องการให้กูช่วยคิดหรือแนะนำ กูก็จะบอกว่า ก็ไปทำงานกับบริษัท C ซะ โดยไปตกลงเรื่องสัญญาจ้างงานกับ C ซะให้เรียบร้อย แล้วก็มาลาออกกับ B ให้เป็นกิจลักษณะไป
ส่วนเรื่องที่เขาต้องให้บอกล่วงหน้า 30 วันนั้น ก็ให้คุยกับหัวหน้างานที่ B ไปตรงๆ ว่ามึงรู้สึกแย่หรือเป็นทุกข์ยังไง ขอให้ช่วยเข้าใจ และอนุมัติให้ผมลาออกเถิดครับหัวหน้า ซึ่งถ้าเขายอม ก็จบ โอเคไป แต่ถ้าเขาไม่ยอม ก็ขอร้องต่อไปและยืนกรานว่า ยังไงผมก็ต้องขอไปทำกับที่อื่นอยู่ดี
โอกาสที่บริษัท B จะฟ้องลูกจ้างอย่าง ม. ก็มี แต่มันก็ไม่เยอะ เพราะการรับคนใหม่เข้ามาทำงาน มันก็เสียเวลาและเงินทุนอยู่แล้ว จะให้ไปขึ้นโรงขึ้นศาลอีกก็ยิ่งไม่ใช่เรื่อง และกฏหมายแรงงานนั้นก็ค่อนข้างให้ประโยชน์กับลูกจ้างมากกว่านายจ้าง โอกาสที่แพ้คดีนั้นค่อนข้างมีน้อยมากๆ ยิ่งถ้า ม. เป็นแค่ไก่กาในบริษัท B ไม่ได้มีความสำคัญอะไรยังไงต่อบริษัทเท่าไหร่ ก็ไม่น่าจะมีใครมาฟ้องร้องกันหรอก"
ม. ถามผมมาอีกว่า "แล้วถ้าออกจาก B แล้ว C เขาไม่รับกูทำงานล่ะ จะทำไง"
"ก็กูถึงให้มึงไปเซ็นสัญญากับเขาให้เรียบร้อยก่อนไง"
"แล้วถ้าเขาไม่ให้กูผ่าน Pro ล่ะ จะทำไง"
(มันก็เรื่องของมึงสิครับ ก็มึงทำงานห่วยเอง จะให้กูทำไงอ่ะ) "มึงก็ตั้งใจทำงานสิวะครับ และก็ไม่ต้องไปกังวลมาก เรื่องกลัวไม่ผ่านโปร ที่ไหนเขาก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ พูดง่ายๆ ถ้ามึงได้งานใหม่ มึงก็ต้องทดลองงาน แล้วให้เขาประเมินให้ว่าผ่านหรือไม่ผ่านโปรฯอยู่ดีนั่นแหละ
อย่าไปคิดมากเลย เรื่องแค่นี้ ยังไงทุกคนก็ต้องเจอ ถ้ากลัวตกงาน ก็พยายามทำงานช่วงทดลองงานให้เต็มที่ ถ้าเขาไม่ให้ผ่านจริงๆ อันนี้ก็สุดวิสัย ถ้ากลัวไม่มีงานทำ ก็ลองหางานพวก Part time ทำเอาไปก่อนพลางๆก็ได้นี่ จะได้มีเงินกินเงินใช้ จ่ายค่าหอค่าที่พักค่าเดินทางไปพลางๆ
แต่อย่าไปกลัวสิ่งที่มันยังไม่เกิด
กลัวสิ่งที่มันเกิดแล้ว มึงไม่สามารถแก้ไขมันได้ดีกว่า
เช่น ความทุกข์ที่มึงต้องทำงานที่ B นี้ ถ้ามึงสรุปแล้วว่า เป็นเพราะ องค์กร หรือ หัวหน้า ที่มึงไม่สามารถปรับตัวได้ และยังไงๆก็ต้องออก ก็นี่ไง วันนั้นมาถึงแล้ว วันนี้ ที่ C เขาสนใจมึง รับมึงเข้าทำงาน มึงก็ควรทำสิ่งที่ควรทำ คือไปทำที่ C ซะ แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก มองแต่ข้างหน้าก็พอ"
พูดตรงๆว่าผมด่ามันไปอีกหลายชุดใหญ่ๆ เกือบๆจะอารมณ์ขึ้นนิดๆ เพราะตรรกะและการใช้เหตุผลของมันนั้นไม่ไหวจริงๆ ถึงขั้นป่วยเลยก็ว่าได้
ก่อนจะวางสาย มันยังอุตส่าห์บอกความกังวลของมันให้ผมอีกข้อคือ
"ถ้ากูไปแล้ว มันไม่ดี เกิดกูอยากกลับมาที่ B กลัวเขาจะไม่รับกลับ..."
คงรู้นะ ว่าผมจะด่ามันว่ายังไง...?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น